
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแมว

ดูแลแมวสูงวัย
เลี้ยงแมวอย่างไรให้อายุยืน
เลี้ยงแมวอย่างไรให้อายุยืน
รู้หรือไม่ว่าหากเราดูแลแมวของเราให้มีสุขภาพที่ดี น้องแมวก็มีโอกาสที่จะเป็นแมวอายุยืนถึง 20 ปีได้เลย
หัวใจสำคัญในการเลี้ยงแมวให้มีอายุยืนยาวก็ไม่ต้องใช้เคล็ดลับอะไรให้วุ่นวาย เพียงแต่หมั่นดูแลเอาใจใส่ในการดูแลสุขภาพ อาหารการกินของน้องแมว และพาไปพบคุณหมอเพื่อตรวจเช็คสุขภาพตามที่คุณหมอนัดหมายอย่างต่อเนื่องเท่านั้นเอง แต่เล่าแค่นี้อาจจะยังไม่จุใจ มาติดตามอ่านแล้วไปดูแลแมวให้เป็นแมวอายุยืนไปพร้อมๆ กันด้วยเคล็ด(ไม่)ลับในการเลี้ยงแมวนี้กันดีกว่า
1. เลือกอาหารการกิน
กุญแจสำคัญสำหรับการมีสุขภาพดีของน้องแมวนั้นก็ไม่ต่างจากคน การเลือกอาหารที่มีคุณภาพดีมีสารอาหารครบถ้วนล้วนส่งผลต่อสุขภาพของน้องแมวแสนรักของเราทั้งสิ้น ดังนั้นการเลือกอาหารให้น้องแมวจึงเป็นสิ่งสำคัญ แนะนำให้เลือกอาหารแมวเกรดซุปเปอร์พรีเมี่ยม ที่ได้รับการคิดค้นสูตรอาหารจากทีมสัตวแพทย์ และนักโภชนาการผู้เชี่ยวชาญ คัดสรรจากวัตถุดิบคุณภาพสูง อย่าง Purina ONE ที่นอกจากจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความอร่อยถูกปาก และอัดแน่นด้วยสารอาหารจำเป็นครบถ้วนสำหรับน้องแมวแล้ว ยังช่วยดูแลแมวให้มีสุขภาพที่ดี ชะลอความเสื่อมของร่างกาย และมีอายุยืนยาวได้อีกด้วย
2. ดูแลรูปร่าง
เลี้ยงแมวทั้งที ก็ต้องหมั่นดูแลน้องแมวให้ไม่อ้วนจนเกินไป โดยสังเกตได้จากรูปร่างที่สมส่วน ไม่มีพุงห้อยย้อย และไม่อ้วนจนจนมองไม่เห็นสันหลัง น้ำหนักมาตรฐานในน้องแมวจะอยู่ที่ 4.5 กิโลกรัม แต่ในแมวไทยอาจจะบอบบางกว่า น้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 3 กิโลกรัม ส่วนน้องแมวสายพันธุ์ใหญ่อย่างเมนคูณน้ำหนักจะอยู่ที่ประมาณ 11 กิโลกรัม การดูแลรูปร่างไม่ให้อ้วนก็เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดโรคต่างๆ ที่มากับความอ้วน ไม่ว่าจะเป็น ปัญหากระดูกและข้อ
โรคหัวใจ และโรคทางระบบอื่นๆ ซึ่งวิธีการดูแลน้องแมวให้มีรูปร่างที่สมส่วนก็ทำได้ไม่ยาก เพียงแต่ให้น้องแมวได้ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย 10-15 นาที วันละ 1-2 ครั้ง และให้อาหารในปริมาณที่พอเหมาะ ตามที่ฉลากอาหารข้างถุงระบุเอาไว้ เท่านี้รูปร่างที่ดีเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว
3. ทำหมัน
การทำหมันทำให้แมวอายุยืนยาวขึ้นกว่าน้องแมวที่ไม่ได้ทำหมันถึง 2 เท่า เพราะการทำหมันจะช่วยลดพฤติกรรมก้าวร้าว และการออกเที่ยวนอกบ้าน ซึ่งทำให้เกิดการติดเชื้อโรคติดต่ออันตรายที่มาจากการต่อสู้กัน ที่มักจะพบได้มากในน้องแมวที่ฮอร์โมนพลุ่งพล่านที่ยังไม่ได้รับการทำหมันเพื่อแย่งอาณาเขต หรือแย่งน้องแมวตัวเมียนั่นเอง
โดยอายุเฉลี่ยของน้องแมวปกติจะอยู่ที่ 14-16 ปี แต่การทำหมันจะช่วยลดความเสี่ยงของการติดโรคต่างๆ ที่กล่าวมา
และทำให้น้องแมวอายุยืนยาวได้อีกหลายปีเลยทีเดียว ถ้าใครมีลูกแมวอายุราว 4-6 เดือน ก็อย่าลืมพาน้องแมวไปปรึกษาคุณหมอ และตรวจสุขภาพเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทำหมันได้เลย
4. ทำวัคซีน
การทำวัคซีนเป็นการสร้างเกราะป้องกันให้กับร่างกายของน้องแมวจากโรคติดเชื้อร้ายแรงต่างๆ โดยเฉพาะโรคติดต่อที่อาจเป็นอันตรายต่อคนอย่างโรคพิษสุนัขบ้า การทำวัคซีนจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จำเป็นต้องทำ และต้องไปรับการทำวัคซีนเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันเป็นประจำทุกปีตามที่สัตวแพทย์นัดหมาย หรือดูจากตารางนี้ได้เลย
อายุโปรแกรมสุขภาพ8-9 สัปดาห์วัคซีนรวมป้องกันโรคไข้หัด หวัดแมว ระบบทางเดินหายใจ ช่องปาก และตาอักเสบ เข็มที่ 110-12 สัปดาห์• วัคซีนรวมป้องกันโรคไข้หัด หวัดแมว ระบบทางเดินหายใจ ช่องปาก และตาอักเสบ เข็มที่ 2• วัคซีนป้องกันโรคลิวคีเมียเข็มที่ 112 สัปดาห์• วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า เข็มที่ 112-16 สัปดาห์• วัคซีนรวมป้องกันโรคไข้หัด หวัดแมว ระบบทางเดินหายใจ ช่องปาก และตาอักเสบ เข็มที่ 3• วัคซีนป้องกันโรคลิวคีเมียเข็มที่ 2ทุกปี• วัคซีนรวมป้องกันโรคไข้หัด หวัดแมว ระบบทางเดินหายใจ ช่องปาก และตาอักเสบ• วัคซีนป้องกันโรคลิวคีเมีย• วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
โปรแกรมอาจเปลี่ยนแปลงตามดุลยพินิจของสัตวแพทย์
5. ป้องกันปรสิต
เรื่องเล็กๆ ที่เจ้าของแมวทุกคนต้องใส่ใจ คือการป้องกันปรสิตตัวร้าย ไม่ว่าจะเป็นหมัด พยาธิภายในทางเดินอาหาร และพยาธิหนอนหัวใจ ปัญหาเหล่านี้เป็นภัยที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ทำให้เจ้าของแมวมักละเลยที่จะป้องกัน และก่อโรคอันตรายมากมายในน้องแมว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาแพ้น้ำลายหมัด ขาดสารอาหารจากการมีพยาธิ เกิดโรคพยาธิหนอนหัวใจซึ่งการมีพยาธิหนอนหัวใจในน้องแมวแค่ตัวเดียว ก็อาจเป็นอันตรายถึงขั้นทำให้น้องแมวเสียชีวิตได้ โดยเจ้าของน้องแมวสามารถพาน้องแมวไปรับการป้องกันพยาธิภายนอก ภายใน และพยาธิหนอนหัวใจได้ตั้งแต่น้องแมวอายุ 6-8 สัปดาห์ และควรทำการป้องกันเป็นประจำอย่างต่อเนื่องตามที่คุณหมอแนะนำ โดยกินยาถ่ายพยาธิภายในทุกๆ 3 เดือน และป้องกันพยาธิภายนอก เช่น หมัดแมว และป้องกันพยาธิหนอนหัวใจโดยใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดหยดหลังเป็นประจำทุกเดือน

ดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยง
เรื่องต้องรู้การพาน้องแมวไป ฉีดวัคซีน
เรื่องต้องรู้การพาน้องแมวไปฉีดวัคซีน
นอกจากการดูแลเอาใจใส่น้องแมวในเรื่องการดูแลสุขภาพ เลือกอาหารที่ดี เพื่อช่วยเสริม 6 สัญญาณสุขภาพดีให้กับน้องแมวแล้ว การสร้างเกราะป้องกันให้กับสุขภาพของน้องแมวด้วยการทำวัคซีนก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะวัคซีนแมวจะช่วยป้องกันน้องแมวจากการติดเชื้อไวรัสต่างๆ ที่ทำให้เกิดอาการป่วยรุนแรงได้ แล้วเจ้าของแมวมือใหม่ที่เพิ่งจะเริ่มเลี้ยงแมวรู้หรือเปล่าว่าจะต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคอะไรให้กับน้องแมวบ้าง ใครที่ยังสงสัยไม่ต้องกังวลไป วันนี้เรามีคำตอบมาฝาก
รู้เรื่องวัคซีนแมว
คำแนะนำสำหรับการฉีดวัคซีนแมว จากชมรมสัตวแพทย์บำบัดโรคแมวแห่งประเทศไทย ได้แบ่งวัคซีนแมวออกเป็น 2 กลุ่ม
1. วัคซีนโรคหลัก : นั่นคือวัคซีนแมวที่จำเป็นจะต้องทำให้กับน้องแมวทุกตัว ได้แก่
• วัคซีนรวมในแมว : โรคไข้หัด หวัดแมว , โรคระบบทางเดินหายใจ ช่องปากและตาอักเสบ
• วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
• วัคซีนป้องกันโรคลิวคิเมียในแมว : ต้องตรวจเลือดก่อน หากไม่พบการติดเชื้อจึงจะทำวัคซีนได้
2. วัคซีนโรคกลุ่มเสี่ยง : ฉีดวัคซีนแมวกลุ่มนี้ในแมวเสี่ยงติดโรค เช่น แมวที่เลี้ยงปล่อย ชอบเที่ยว ชอบทะเลาะกับแมวตัวอื่นเป็นประจำ เป็นต้น
• วัคซีนป้องกันโรคเอดส์แมว
• วัคซีนป้องกันโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ
ฉีดวัคซีนแมวเมื่อไหร่ดี

พฤติกรรมและการสอนสัตว์เลี้ยง
วิธีฝึกลูกแมวและแมวโตเต็มวัย
หลายคนคิดว่าการฝึกเป็นเรื่องของสุนัข แต่ทราบหรือไม่ว่า แมวก็เรียนรู้คำสั่งได้เช่นกัน แมวของคุณสามารถจดจำชื่อของตัวเองได้ และมาหาเมื่อคุณเรียก เพื่อช่วยให้สัตว์เลี้ยงของคุณเรียนรู้ทักษะเหล่านี้ คุณควรเริ่มฝึกตั้งแต่เขายังเด็ก ๆ
วิธีฝึกแมวให้มีทักษะการเข้าสังคม
การฝึกลูกแมวเริ่มที่การเข้าสังคม ยิ่งแมวได้พบเจอผู้คนตั้งแต่เด็กมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งตื่นกลัวเมื่อโตขึ้นน้อยลงเท่านั้น ทันทีที่ลูกแมวเดินได้เองโดยที่แม่แมวไม่ต้องคอยช่วยเหลือ ลูกแมวมักจะเข้าหาสถานการณ์ใหม่ ๆ ด้วยความมั่นใจและความอยากรู้อยากเห็นซึ่งเป็นอุปนิสัยที่โดดเด่นของแมว ลูกแมวจะมีความกลัวน้อยที่สุดเมื่ออายุ 3-7 สัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงวัยที่พวกเขาเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ๆ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในสภาพแวดล้อมของตน เมื่อพ้นช่วงนี้ไปแล้ว ลูกแมวจะระวังตัวมากขึ้น ดังนั้นผู้เพาะพันธุ์จึงควรแนะนำสิ่งต่าง ๆ ให้แมวรู้จักให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ก่อนที่คุณจะมารับไป ซึ่งช่วงวัยที่ดีที่สุดของการนำไปเลี้ยงคือ 8-13 สัปดาห์ (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และผู้เพาะพันธุ์)
การพัฒนาทางอารมณ์ของลูกแมวไม่ได้หยุดอยู่ที่อายุ 12 สัปดาห์ คุณจึงควรฝึกลูกแมวต่อเมื่อมาอยู่ที่บ้าน นี่เป็นส่วนหนึ่งของเคล็ดลับที่จะช่วยให้ลูกแมวของคุณพัฒนาต่อไปได้อีก
• เชิญเพื่อนที่มีลักษณะต่าง ๆ กันมาที่บ้าน เพื่อช่วยให้ฝึกลูกแมวให้คุ้นเคยกับผู้คนที่มีลักษณะหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นด้านอายุ เพศ ส่วนสูง สีผม และอื่น ๆ
• หากบ้านของคุณไม่มีเด็ก ลองชวนเด็ก ๆ มาที่บ้านแต่ต้องแน่ใจว่าคุณได้บอกวิธีดูแลลูกแมวให้เด็กทราบ โดยเฉพาะถ้าเด็กเหล่านี้ไม่เคยเห็นลูกแมวมาก่อน
• และถ้าคุณรู้จักคนที่มีสุนัขที่เป็นมิตรกับแมว ชวนให้เขาพาสุนัข มาเจอกับลูกแมวของคุณด้วย แต่สุนัขควรจะต้องผ่านการฝึกมาเป็นอย่างดีและสามารถปฏิบัติตามคำสั่ง “นิ่ง/คอย” แม้ว่าจะตื่นเต้นเมื่อพบกับเพื่อนใหม่ตัวจิ๋วก็ตาม