- แมวตื่นตัว อยากรู้อยากเห็นตลอดเวลา
- เข้ากับคนง่ายและต้องการการดูแล
- แมวช่างพูด
- รูปร่างผอมเพรียวและสง่างาม
- ต้องดูแล/ตัดขนสัปดาห์ละครั้ง
- สายพันธุ์แพ้ง่าย
- Indoor cat
- อาจต้องทำความคุ้นเคยก่อนนำมาคลุกคลีกับลูก
ลักษณะนิสัย
แมวสฟิงซ์เข้าสังคมเก่ง ซุกซน เป็นมิตร และชอบให้คนสนใจ แมวไร้ขนพันธุ์นี้มักคอยต้อนรับเจ้าของเมื่อกลับถึงบ้าน และยังคุยเก่งอีกด้วย เป็นแมวที่ฉลาด ขี้เล่น และน่ากอด สฟิงซ์เป็นสุดยอดแมว “ขี้อ้อน” ชอบนอนใต้ผ้าห่มกับเจ้าของ อุณหภูมิร่างกายของสฟิงซ์สูงกว่าแมวทั่วไปโดยเฉลี่ย 1-2 องศา และกินเก่งมากซึ่งเป็นการชดเชยความร้อนที่สูญเสียไปจากร่างกาย ผู้เลี้ยงไม่ควรทิ้งสฟิงซ์ไว้ในที่หนาวเย็นเพราะเป็นสายพันธุ์ที่ไม่ทนอากาศหนาวจัด นอกจากนี้ยังไม่ชอบนั่งบนพื้นเย็น ๆ และชื่นชอบระบบทำความร้อนแบบทั่วทั้งหลังเป็นที่สุด ถ้าต้องพาออกนอกบ้านควรทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิว
ประวัติความเป็นมา
ถิ่นกำเนิด: แคนาดา
ชื่ออื่น ๆ: แคนาเดียน แฮร์เลส แคท
“แมวไร้ขน” มีประวัติยาวนานหลายชั่วอายุคน ว่ากันว่าชาวแอซเท็คก็เลี้ยงแมวไร้ขนด้วยเช่นกัน สฟิงซ์เป็นแมวไร้ขนสายพันธุ์แรกที่มีการเพาะพันธุ์เพื่อให้ได้ลักษณะนี้ โครงการเพาะพันธุ์เริ่มขึ้นเมื่อปีค.ศ.1966 ในรัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา เมื่อมีแมวบ้านให้กำเนิดลูกแมวเพศผู้ไร้ขนตัวหนึ่ง อย่างไรก็ดี แมวสฟิงซ์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันมีเชื้อสายมาจากลูกแมวไร้ขนสามตัวในเมืองโทรอนโตในปีค.ศ.1978
สายพันธุ์นี้มักมีปัญหาผิวหนัง รวมถึงผื่นคันและเชื้อรา ผู้เลียงต้องปกป้องผิวของแมวพันธุ์นี้จากการอักเสบของผิวไหม้แดด สฟิงซ์ก็เหมือนกับแมวทุกสายพันธุ์ที่ควรได้รับวัคซีนและตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปีเพื่อห่างไกลจากโรค
แมวทุกตัวมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เมื่อพูดถึงอาหารแต่ละตัวจะมีความชอบ ไม่ชอบ และความต้องการแตกต่างกัน แมวเป็นสัตว์กินเนื้อและต้องได้รับสารอาหารต่าง ๆ ที่ครบถ้วน 41 ชนิดจากอาหารที่กินเข้าไป สัดส่วนของสารอาหารเหล่านี้แตกต่างกันไปตามอายุ วิถีชีวิต และสุขภาพโดยรวม จึงไม่ต้องแปลกใจไปหากลูกแมวที่กำลังโตและพลังล้นเหลือจะต้องการสารอาหารที่ต่างจากแมวสูงวัยที่ไม่ชอบขยับตัวไปไหน อีกข้อหนึ่งที่ต้องระลึกให้ขึ้นใจคือ ควรให้อาหารในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อรักษา “รูปร่างให้สมส่วน” ตามคำแนะนำของสายพันธุ์ และจัดอาหารสูตรเปียกหรือสูตรแห้งให้ตามที่แมวชอบ
เจ้าของต้องใส่ใจดูแลผิวของแมวสฟิงซ์ให้สะอาดและอ่อนนุ่มอย่างพิถีพิถัน โดยอาบน้ำและถูผิวให้เขาทุกสัปดาห์เพื่อขจัดไขผิวหนัง รวมทั้งทำความสะอาดสารคัดหลั่งออกจากหูชั้นนอกอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่หู
แม้ว่าแมวสายพันธุ์นี้จะไม่ได้ชื่อว่าเป็นมิตรและรักเด็กเป็นอันดับต้น ๆ แต่แมวแต่ละตัวล้วนแตกต่างกัน หากฝึกให้คุ้นเคยกับเด็กแล้วย่อมอารมณ์ดีและอยู่ร่วมกับเด็กได้