Machine Name
cat

ชินชิล่า

แมวชินชิล่าเป็นแมวที่มีลักษณะเป็นแมวเปอร์เซียที่มีสีจำเพาะ โดยมีความเหมือนกับแมวเปอร์เซียตรงที่มีขนยาวสลวยและตากลมโต แต่ถึงแม้ว่าจะมีความเป็นเปอร์เซีย แมวชินชิล่าก็ยังมีจุดแตกต่างจากแมวเปอร์เซียตรงที่มีโครงสร้างขนาดปานกลาง มีส่วนจมูกและปากยาวกว่า โดยรวมแล้วจะดูตัวเล็กกว่าแมวเปอร์เซีย อีกทั้งยังมีร่างกายกำยำ ดูแข็งแรง และยังมีอุ้งเท้าโต ๆ ลำตัวแน่น ๆ อีกด้วย

 

The need-to-know

 

  • แมวสงบ
  • เข้ากับคนง่ายและต้องการการดูแล
  • แมวเงียบ
  • รูปร่างทั่วไป
  • ต้องดูแล/ตัดขนทุกวัน
  • สายพันธุ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  • ต้องการพื้นที่นอกบ้านบ้าง
  • แมวที่เหมาะกับเลี้ยงในครอบครัว
บุคลิกภาพ

ถ้าให้นึกบรรยากาศรอบตัวของแมวพันธุ์นี้ก็คงนึกถึงบรรยากาศที่เงียบและสงบ แมวชินชิล่าเป็นแมวที่ไม่ค่อยจะแอคทีฟสักเท่าไหร่ รวมไปถึงเป็นแมวที่ไม่ได้เรียกร้องอะไรกับเจ้าของมาก แต่ก็ไม่ได้หมายว่าแมวพันธุ์นี้จะไม่รักเจ้าของนะ เจ้าชินชิล่าเป็นแมวที่มีความซื่อสัตว์และรักเจ้าของมาก อีกทั้งชอบที่จะได้ใช้เวลากับเจ้าของอีกด้วย เพียงแต่ว่าเป็นแมวที่ไม่ค่อยชอบลุกขึ้นมาออกกำลังกาย เลยออกแนวเป็นแมวขี้เกียจไปบ้าง ดังนั้นจึงจะต้องใช้ของล่อตาล่อใจเพื่อให้น้องแมวพันธุ์นี้ได้ออกมาเล่น และถึงจะดูไม่ค่อยชอบออกไปไหนแต่การทิ้งแมวชินชิล่าไว้ที่บ้านเพียงลำพัง ก็อาจจะเหงาเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากทิ้งไว้เป็นเวลานาน ๆ แต่ถึงอย่างไรก็ตามแมวพันธุ์นี้ก็ยังพอเข้ากับสัตว์ตัวอื่นที่บ้านได้ดีถ้าหากได้เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก

โดยรวมแล้วแมวพันธุ์นี้ชอบการได้นอนกอดเจ้าของ นอนให้เจ้าของแปรงขน หรือให้คุณเจ้าของเอาใจ มากกว่าการได้ทำกิจกรรมที่อึกทึกคึกโครม ดังนั้นถ้าจะคาดหวังกิจกรรมโลดโผนหรือพวกกิจกรรมที่มีความซับซ้อนจากแมวพันธุ์นี้ก็คงยากหน่อยล่ะ

ประวัติและต้นกำเนิด

แมวชินชิล่าเป็นแมวที่ถูกพัฒนาสายพันธุ์จากแมวเปอร์เซียตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 18 โดยเป็นการคัดเลือกพันธุ์จากสี และได้ชื่อมาจากสัตว์ฟันแทะที่มีขนนุ่มสุด ๆ อย่างเจ้าชินชิล่า ที่มีลักษณะขนหนาสีขาวปลายเข้ม ทำให้ดูเป็นประกายสีเงินดึงดูดสายตาผู้คน

แมวชินชิล่าได้ชื่อว่าเป็นแมวพันธุ์แรก ๆ ที่ถูกพัฒนาสายพันธุ์มาด้วยการคัดเลือกจากสีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันผู้พัฒนาสายพันธุ์ก็ได้ให้ความสำคัญกับปัจจัยอื่น ๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้าง ลักษณะนิสัย รวมไปถึงสภาวะสุขภาพด้วยเช่นกัน

โภชนาการและการให้อาหาร

แมวทุกตัวล้วนมีรสนิยมเฉพาะตัว ในเรื่องการกินก็มีสิ่งที่ชอบ สิ่งที่ไม่ชอบ และสิ่งที่ต้องการ แต่อย่างไรก็ตามแมวเป็นสัตว์กินเนื้อ และแมวทุกตัวจำเป็นต้องได้รับสารอาหารทั้งหมด 41 ชนิด ซึ่งจะได้รับทางการกินอาหารเท่านั้น โดยสัดส่วนความต้องสารอาหารนั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละตัว ขึ้นกับอายุ ไลฟ์สไตล์ และสภาวะสุขภาพโดยรวม

ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่ลูกแมววัยกำลังซนจะมีความต้องการสารอาหารแตกต่างจากแมวสูงวัยที่ไม่ค่อยวิ่งเล่นแล้ว และอีกสิ่งสำคัญที่ต้องระลึกไว้เสมอคือการให้อาหารในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อคงหุ่นของแมวให้มีหุ่นที่ดีเสมอ โดยปริมาณการให้อาหารสามารถพิจารณาตามวิธีการให้อาหารของแต่ละผลิตภัณฑ์ และสามารถปรับปริมาณการให้ได้ตามความเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นอาหารเปียกหรืออาหารแห้งก็ตาม

ข้อมูลอื่นๆ

สุขภาพและปัญหาที่มักพบ


แมวพันธุ์ชินชิล่าจัดว่าอยู่ในกลุ่มแมวพันธุ์หน้าสั้น ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงที่เป็นโรคเหล่านี้ ได้แก่

 

  • กลุ่มโรคทางเดินหายใจในสัตว์พันธุ์หน้าสั้น (Brachycephalic obstructive airway syndrome) เป็นภาวะที่มักพบในสัตว์พันธุ์หน้าสั้น เนื่องจากลักษณะโครงสร้างทางเดินหายใจที่พับไปมา ร่วมกับการมีหน้าสั้น ทำให้ทางเดินหายใจถูกปิดกั้นได้ง่าย ส่งผลให้ความสามารถในการออกกำลังกายลดลง ไปจนถึงอาจทำให้มีอาการหายใจลำบากอย่างรุนแรงได้
  • ภาวะผิวหนังอักเสบ/ติดเชื้อ (Skin inflammation/infection) เนื่องจากแมวพันธุ์หน้าสั้นยังคงมีปริมาณผิวหนังเท่ากับในแมวปกติ แต่ด้วยหน้าที่สั้น ทำให้มีผิวหนังส่วนเกินทั้งใบหน้า เกิดเป็นพับผิวหนัง (skin fold) ซึ่งในร่องพับของผิวหนังเป็นพื้นที่ที่อาจเกิดการระคายเคือง ไปจนถึงเกิดการติดเชื้อได้ง่ายกว่าผิวหนังปกติ
  • แผลหลุมที่ตา (Eye ulcers) มีลักษณะเป็นแผลหลุมบนผิวดวงตาที่สร้างความเจ็บปวดให้กับแมวเป็นอย่างมาก ในแมวพันธุ์หน้าสั้นมักพบแผลหลุมที่ตาเนื่องจากลักษณะตาโปน ทำให้มีโอกาสสัมผัสกับสิ่งระคายเคืองได้ง่ายกว่าปกติ
     

    นอกจากนี้ยังมีโอกาสเสี่ยงที่จะมีภาวะดังนี้

     

  • Polycystic kidney disease เป็นภาวะที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ซึ่งก่อให้เกิดถุงน้ำในไต ส่งผลต่อการทำงานของไต ไปจนถึงอาจทำให้เกิดภาวะไตวายได้

     

การเลี้ยงระบบเปิด หรือระบบปิด


แมวชินชิล่าก็สามารถสนุกไปกับพื้นที่นอกบ้านได้เช่นกัน ดังนั้นพื้นที่สวนที่ปลอดภัยหรือการเข้าถึงพื้นที่ปิดสำหรับน้องแมวก็เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์จุดนี้ได้ อย่างไรก็ตามด้วยความที่เป็นแมวที่เป็นมิตร เป็นแมวเฉื่อย ไม่ค่อยปราดเปรียว ก็มีโอกาสตกเป็นเป้าของโจรขโมยแมวได้เช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ควรปล่อยน้องอิสระในพื้นที่เปิดขณะที่ไม่มีคนคอยเฝ้าอยู่ โดยคุณเจ้าของสามารถค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับพื้นที่สวนปลอดภัยสำหรับน้องแมวได้จากบทความของเรา

 

อุปกรณ์เสริมทักษะและความต้องการเฉพาะตัว


ด้วยความรักในการอยู่เฉย ๆ ทำให้กิจกรรมของเจ้าแมวชินชิล่าอาจต้องสนุกไปพร้อมกับการมีอาหารมาล่อ เช่น ของเล่นให้อาหาร ต้นไม้แมวที่แอบซ่อนอาหารไว้หลาย ๆ จุด ไปจนถึงการเล่นริบบิ้นหรือไม้ตกแมว อีกทั้งแมวพันธุ์นี้ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นแมวยอดนักไขปริศนาในเกมต่าง ๆ ที่ซับซ้อน ดังนั้นจึงควรเลือกกิจกรรมที่เรียบง่ายและสนุก เพราะกิจกรรมที่ยุ่งยากนั้นอาจทำให้แมวพันธุ์นี้หงุดหงิดหรือถอดใจไปเลยก็ได้

 

แมวพันธุ์นี้กับเด็ก


แมวชินชิล่าเป็นแมวที่รักความเงียบสงบ ดังนั้นจึงเหมาะกับบ้านที่สมาชิกในบ้านค่อนข้างโตเป็นวัยรุ่นแล้ว ไม่มีเด็กเล็ก

รากามัฟฟิน

รากามัฟฟิน ชื่อนี้ได้มาเพราะความก้อนกลมโตน่ารักที่เหมือนกับมัฟฟิ่น โดยลักษณะแล้ว แมวพันธุ์นี้เป็นแมวขนาดใหญ่ ตัวแน่น โครงร่างเป็นทรงคล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้า อกกว้าง มีความทรงพลัง แต่ก็มีใบหน้าน่ารัก ด้วยรูปตาที่เป็นทรงคล้ายลูกวอลนัท ใบหูมีขนปกคลุม ท่าทีดูสง่างาม มาพร้อมกับขนกึ่งยาว (semi-long coat) ที่มีสัมผัสนุ่มฟู เสริมไปด้วยแผงคอยาวสลวย ขนหางฟู ๆ และอุ้งเท้าฟูนุ่ม

 

The need-to-know
 

  • แมวขี้เล่นขี้สงสัย
  • เข้ากับคนง่ายและต้องการการดูแล
  • แมวพูดเก่งเล็กน้อย
  • รูปร่างทั่วไป
  • ต้องดูแล/ตัดขนทุกวัน
  • สายพันธุ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  • ต้องการพื้นที่นอกบ้านบ้าง
  • แมวที่เหมาะกับเลี้ยงในครอบครัว
บุคลิกภาพ

แมวพันธุ์รากามัฟฟินเป็นแมวที่เต็มไปด้วยความรักเจ้าของและความเป็นมิตร เวลาโดนอุ้ม ก็เรียกได้ว่าพร้อมทิ้งตัวให้โดนอุ้มเสมอ อีกทั้งเจ้ารากามัฟฟินยังเป็นสมาชิกครอบครัวคนเก่ง ที่ชอบให้คนในบ้านมาลูบพุง ให้นอนตัก นอนกอด หรืออะไรก็ตามที่คนมาทำให้ แมวตัวนี้ก็ชอบไปหมดซะทุกอย่างเลย โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเจ้าของทำให้เท่านั้น แต่จะเป็นใครก็ได้ที่อยากมาเล่นกับเจ้าแมวพันธุ์นี้ น้องจึงได้สมญา “เจ้าแมวตีนตุ๊กแก” (Velcro Cat) เพราะความรักคนสุดๆนี่เอง นอกจากนี้รากามัฟฟิน ยังเข้ากันได้ดีกับสัตว์เลี้ยงอื่น ผู้มาเยือน และยังชอบออกไปเที่ยว ทำให้การเดินเล่นไปกับเจ้าของก็เป็นสิ่งที่แมวพันธุ์นี้ทำได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่ต้องพึงระลึกไว้เสมอก็คือกว่าน้องจะโตเต็มที่ อาจต้องเวลาถึง 4 ปี ซึ่งหมายความว่า วัยเด็กของเจ้าแมวพันธุ์นี้ที่ยังคงความขี้เล่นซุกซนนุ่มฟูจะยังคงอยู่นานกว่าแมวทั่วไป

อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่ารากามัฟฟินสามารถเข้ากันได้ดีกับทุกคน รวมถึงเด็กและสัตว์เลี้ยงอื่นด้วย น้องเป็นแมวที่ขี้เล่น สนุกสนาน และฉลาดในการเล่นเกมแก้ปัญหา แต่บางทีถ้าน้องไม่เล่น ก็อาจเกิดจากความขี้เกียจด้วยส่วนหนึ่ง แต่ใครจะอดใจไม่เล่นกับเจ้ารากามัฟฟินได้ล่ะ ก็น้องน่ารักขนาดนี้ นอกจากนี้เจ้ารากามัฟฟินยังเป็นแมวฉลาดแสนรู้ที่สามารถสอนให้น้องคาบของมาให้หรือสอนให้เล่นอะไรที่ซับซ้อนขึ้นมาได้ และด้วยความที่เป็นน้องแมวนิ่ง ๆ รากามัฟฟินยังต้องการกิจกรรมที่ได้ทำร่วมกับเจ้าของ นอกเหนือไปจากการเล่นแบบปกติ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการกิจกรรมและทำให้น้องเล่นกิจกรรมต่อไปได้ เพื่อคงสุขภาพที่ดีเอาไว้

 

ประวัติและต้นกำเนิด

แมวพันธุ์รากามัฟฟินเป็นแมวที่มีความใกล้ชิดกับแมวพันธุ์แร็กดอลล์ โดยรากามัฟฟินนั้นเกิดขึ้นมาในขณะที่นักปรับปรุงพันธุ์ต้องการปรับปรุงพันธุ์เพื่อให้ได้น้องแมวสีใหม่ ลวดลายแบบใหม่ รวมถึงต้องการเพิ่มความหลากหลายทางพันธุกรรมของแมวลักษณะนี้ เนื่องจากแต่เริ่มเดิมทีนั้นนักปรับปรุงพันธุ์แมวแร็กดอลล์นั้นเข้มงวดกับการคัดเลือกพันธุ์ให้ได้ลักษณะจำเพาะประจำพันธุ์ ความหลากหลายทางพันธุกรรมจึงมีไม่มาก และด้วยเหตุผลเหล่านี้เอง จึงทำให้น้องแมวพันธุ์รากามัฟฟินได้ถือกำเนิดขึ้น

ในกระบวนการปรับปรุงพันธุ์จะมีวิธีการผสมแบบข้ามพันธุ์ อย่างเช่น การผสมแมวพันธุ์หิมาลายัน เปอร์เซีย และน้องแมวเลี้ยงขนยาวพันธุ์อื่น ๆ จนได้มาเป็นเจ้าแมวพันธุ์ใหญ่ที่มีขนกึ่งยาวหลากสีพันธุ์นี้ขึ้นมาได้ นอกจากนี้ยังแถมมาด้วยลักษณะนิสัยสุดชิล ซึ่งความสุด ๆ ของเจ้าแมวพันธุ์นี้ก็คือนิสัยปล่อยใจปล่อยจอย ชนิดที่ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด อยู่ในความคิดของเจ้าแมวพันธุ์นี้

โภชนาการและการให้อาหาร

แมวทุกตัวล้วนมีรสนิยมเฉพาะตัว ในเรื่องการกินก็มีสิ่งที่ชอบ สิ่งที่ไม่ชอบ และสิ่งที่ต้องการ แต่อย่างไรก็ตามแมวเป็นสัตว์กินเนื้อ และแมวทุกตัวจำเป็นต้องได้รับสารอาหารทั้งหมด 41 ชนิด ซึ่งจะได้รับทางการกินอาหารเท่านั้น โดยสัดส่วนความต้องสารอาหารนั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละตัว ขึ้นกับอายุ ไลฟ์สไตล์ และสภาวะสุขภาพโดยรวม

ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่ลูกแมววัยกำลังซนจะมีความต้องการสารอาหารแตกต่างจากแมวสูงวัยที่ไม่ค่อยวิ่งเล่นแล้ว และอีกสิ่งสำคัญที่ต้องระลึกไว้เสมอคือการให้อาหารในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อคงหุ่นของแมวให้มีหุ่นที่ดีเสมอ โดยปริมาณการให้อาหารสามารถพิจารณาตามวิธีการให้อาหารของแต่ละผลิตภัณฑ์ และสามารถปรับปริมาณการให้ได้ตามความเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นอาหารเปียกหรืออาหารแห้งก็ตาม

การควบคุมอาหารและน้ำหนักในแมวรากามัฟฟินเป็นสิ่งที่ควรจับตาดูไว้ตลอดเวลา เนื่องจากความที่น้องเป็นแมวเฉื่อย ทำให้มีโอกาสอ้วนได้ง่าย ดังนั้นก็อย่าลืมให้เจ้ารากามัฟฟินออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่จะมั่นใจได้ว่าเจ้าแมวติดบ้านของเราตัวนี้จะไม่มีน้ำหนักบานปลายจนเกินไป

ข้อมูลอื่นๆ

สุขภาพและปัญหาที่มักพบ


ในปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลรายงานความเสี่ยงต่อการเกิดโรคของแมวพันธุ์รากามัฟฟิน

 

อุปกรณ์เสริมทักษะและความต้องการเฉพาะตัว


การสร้างแรงจูงใจให้เจ้ารากามัฟฟินสามารถทำได้โดยการใช้อาหารมาล่อ อย่างเช่นการใช้ของเล่นให้อาหารลับสมอง หรือการสอดแทรกกิจกรรมลับสมองไปกับการควบคุมอาหารของน้องในแต่ละวัน ซึ่งการจัดการอาหารสำหรับแมวพันธุ์นี้นั้น ควรมีการแบ่งมื้อและคำนวณพลังงานให้เหมาะสม ไม่ควรให้แบบไม่จำกัด เพราะเจ้าแมวพันธุ์นี้คือนักกินตัวยง

อาจมีต้นไม้แมว (cat-tree) ไว้ในบ้าน รวมถึงมุมพักผ่อนหย่อนใจ หรือมุมรับแดด เพราะรากามัฟฟินชอบที่จะนอนเอื่อยอยู่ใต้แสงแดด หรือมุดหาที่อบอุ่นในฤดูหนาว อีกทั้งการมีกิจกรรมประจำวันเล็ก ๆ อย่างเช่น การเล่นไล่จับของเล่น การเล่นไม้แมว ก็เป็นสิ่งที่ทำให้น้องแมวพันธุ์นี้ได้เคลื่อนไหว ทำให้มีสุขภาพที่แข็งแรง

 

การเลี้ยงระบบเปิด หรือระบบปิด


รากามัฟฟินเป็นแมวที่พอจะทนใช้ชีวิตอยู่นอกบ้านได้บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นในบางอารมณ์ก็อาจสนุกไปกับกิจกรรมนอกบ้านได้เช่นกัน ซึ่งควรมีพื้นที่สวนปลอดภัยสำหรับน้องแมว และมีทางเดินสำหรับแมวโดยเฉพาะให้เข้าถึงได้ น้องแมวพันธุ์นี้จริง ๆ แล้วเป็นแมวที่ชิลเกินกว่าจะออกไปผจญภัย ซึ่งถ้าน้องหายตัวไปก็เป็นไปได้ว่า น้องอาจไปอยู่บนรถตู้แล้วหรือไม่ก็ได้เดินทางไปไกลแล้ว ไปกับคนที่เจ้ารากามัฟฟินเคยโปรยเสน่ห์เอาไว้นี่แหละมาพาตัวไป แต่ในทางที่ดีที่สุดนั้น คือ ควรเก็บน้องไว้เป็นแมวในบ้าน เพราะน้องแมวที่เชื่อใจใครง่ายแบบนี้ อาจจะไปติดกับผู้ล่าเข้าก็เป็นได้

 

แมวพันธุ์นี้กับเด็ก


แมวพันธุ์รากามัฟฟินเป็นแมวที่มีนิสัยชิลสุด ๆ จนถึงขั้นที่ทำให้แมวพันธุ์นี้เป็นแมวที่อยู่ร่วมกับครอบครัวได้ทุกรูปแบบ สามารถอยู่ได้แม้แต่ในบ้านที่วุ่นวาย แต่ทั้งนี้การใส่ใจไม่ให้เด็กในบ้านมาข่มน้องแมวหรือแสดงท่าทีที่ไม่เหมาะสมต่อน้องแมวก็เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งถ้าเหตุการณ์ที่ว่ามานั้นไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านของคุณ รวมถึงคุณพร้อมมีเวลาให้น้องเสมอ ทั้งเวลาเล่นและเวลาแต่งขน จะทำให้รากามัฟฟินของคุณจะเป็นสมาชิกครอบครัวที่วิเศษสุด ๆ ไปเลย

 

การหาบ้านใหม่ให้เหมาะกับรากามัฟฟิน


ต้องบอกว่าแมวพันธุ์รากามัฟฟินเป็นแมวที่แทบไม่เคยถูกเจอในสถานรับเลี้ยงสัตว์เลย แต่อย่างไรก็ตามคุณอาจจะเป็นคนโชคดีคนนั้นที่ได้เจอรากามัฟฟินที่ต้องการบ้านใหม่ ซึ่งอย่างที่ได้กล่าวไปว่าเจ้ารากามัฟฟินนั้นเป็นแมวสุดพิเศษที่เข้าได้กับครอบครัวทุกรูปแบบ แต่ก็เพราะด้วยนิสัยที่เข้ากับคนได้ดีเช่นนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้แมวพันธุ์นี้ไม่เหมาะกับคนที่ไม่มีเวลาให้ หรือแม้กระทั่งยุ่งมากเกินไปจนไม่อยู่บ้านเลยเป็นเวลานาน

ทั้งที่แท้จริงแล้วแมวพันธุ์นี้ไม่ใช่แมวที่มีความต้องการอะไรมากนัก แต่น้องก็ไม่ชอบถูกทิ้งไว้ตัวเดียว ซึ่งก็มีข้อพิสูจน์มาแล้วว่าการทิ้งน้องให้อยู่ตัวเดียวมาเป็นระยะเวลานานสามารถทำให้น้องเครียดจนป่วยได้ ดังนั้นก่อนที่จะรับมาเลี้ยงควรมีการปรึกษาองค์กรรับเลี้ยงสัตว์ เพื่อศึกษาลักษณะนิสัยของน้องแมวก่อนการรับเลี้ยง

ออสเตรเลียน มิสต์

แมวพันธุ์ออสเตรเลียน มิสต์เป็นแมวขนาดกลางที่มีรูปลักษณ์น่าหลงไหล มาพร้อมกับใบหน้ากลมโต ตาคม มีรูปร่างและหุ่นสมส่วน ดูพอดีไปหมด บวกกับลักษณะหน้าตาเป็นมิตร ส่วนขนของแมวพันธุ์นี้จะเป็นขนสั้น แน่น และเงางาม มีลวดลายสีอ่อน ดูนุ่มนวล จนบางทีก็กลมกลืนไปกับพื้นขน เสริมลุคให้แมวพันธุ์นี้สวยเตะตาคนได้ไม่ยาก อีกทั้งสีตาของเจ้าแมวออสเตรเลียน มิสต์ เป็นตาสีเขียว มีได้หลายเฉดขึ้นกับแมวแต่ละตัว

 

The need-to-know

 

  • แมวขี้เล่นขี้สงสัย
  • เข้ากับคนง่ายและต้องการการดูแล
  • แมวพูดเก่งเล็กน้อย
  • รูปร่างทั่วไป
  • ต้องดูแล/ตัดขนทุกวัน
  • สายพันธุ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  • ต้องการพื้นที่นอกบ้านบ้าง
  • แมวที่เหมาะกับเลี้ยงในครอบครัว
บุคลิกภาพ

แมวพันธุ์ออสเตรเลียน มิสต์เป็นพันธุ์ที่ขึ้นชื่อว่า เต็มไปด้วยความรักและมีความสุขในการอยู่ร่วมกับผู้คน รวมไปถึงเข้ากับสัตว์อื่นได้ดี ทำให้แมวพันธุ์นี้สามารถเข้ามาเป็นสมาชิกในครอบครัวได้ไม่ยาก

 

ประวัติและต้นกำเนิด

ประเทศต้นกำเนิด : ออสเตรเลีย

 

ชื่ออื่น ๆ : สป็อตเต็ด มิสต์ (Spotted mist)

 

แมวพันธุ์ออสเตรเลียนมิสต์ เป็นแมวที่ถูกพัฒนาสายพันธุ์มาในช่วงปี 1970s ที่ประเทศออสเตรเลีย โดยเกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ ได้แก่ เบอร์มีส อะบิสซิเนียน และโดเมสติก ชอร์ตแฮร์ จนเกิดเป็นแมวลายจุดพันธุ์นี้ขึ้นมา ทำให้แต่เริ่มเดิมทีเจ้าออสเตรเลียน มิสต์ จึงถูกเรียกว่า สป็อตเต็ด มิสต์ (Spotted mist) หลังจากนั้นก็ได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ไปเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นลวดลายแบบต่าง ๆ ที่มีความซับซ้อนขึ้น รวมถึงลวดลายคล้ายลายหินอ่อน เจ้าแมวพันธุ์นี้จึงถูกเปลี่ยนชื่อพันธุ์ไปเป็น ออสเตรเลียน มิสต์ในปี 1998 โดยในปัจจุบัน ที่สหราชอาณาจักร รวมถึงยุโรป ยังมีแมวออสเตรเลียน มิสต์ไม่มากนัก แต่การพัฒนาสายพันธุ์ก็ยังดำเนินต่อไป เพื่อให้แมวพันธุ์นี้เป็นที่ยอมรับในองค์กรรับรองสายพันธุ์ต่าง ๆ

โภชนาการและการให้อาหาร

แมวทุกตัวล้วนมีรสนิยมเฉพาะตัว ในเรื่องการกินก็มีสิ่งที่ชอบ สิ่งที่ไม่ชอบ และสิ่งที่ต้องการ แต่อย่างไรก็ตามแมวเป็นสัตว์กินเนื้อ และแมวทุกตัวจำเป็นต้องได้รับสารอาหารทั้งหมด 41 ชนิด ซึ่งจะได้รับทางการกินอาหารเท่านั้น โดยสัดส่วนความต้องสารอาหารนั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละตัว ขึ้นกับอายุ ไลฟ์สไตล์ และสภาวะสุขภาพโดยรวม ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่ลูกแมววัยกำลังซนจะมีความต้องการสารอาหารแตกต่างจากแมวสูงวัยที่ไม่ค่อยวิ่งเล่นแล้ว และอีกสิ่งสำคัญที่ต้องระลึกไว้เสมอคือการให้อาหารในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อคงหุ่นของแมวให้มีหุ่นที่ดีเสมอ โดยปริมาณการให้อาหารสามารถพิจารณาตามวิธีการให้อาหารของแต่ละผลิตภัณฑ์ และสามารถปรับปริมาณการให้ได้ตามความเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นอาหารเปียกหรืออาหารแห้งก็ตาม

 

ข้อมูลอื่นๆ

สุขภาพโดยรวมแข็งแรง


แมวพันธุ์ออสเตรเลียน มิสต์ อาจมีความเสี่ยงในการเป็นโรคเหล่านี้ได้

Pyruvate kinase deficiency ทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง จากการตายของเม็ดเลือดแดง
ภาวะจอประสาทตาเสื่อม (Progressive retinal atrophy) เป็นความผิดปกติที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม และในที่สุดอาจส่งผลให้ตาบอดได้
Burmese head defect เป็นความผิดปกติของการเจริญเติบโต ทำให้โครงสร้างใบหน้าและกะโหลกผิดปกติ

 

การเลี้ยงระบบเปิด หรือระบบปิด


การมีพื้นที่กลางแจ้งบางส่วนในรูปแบบสวนที่ปลอดภัยสำหรับน้องแมว สนามวิ่งเล่นสำหรับแมว หรือห้องปิดกลางแจ้งก็คงดีไปเลยสำหรับน้องแมวพันธุ์นี้ ออสเตรเลียนมิสต์สนุกไปกับการได้ปีนป่ายขึ้นไปอาบแดด หรือสอดส่องความเป็นไปภายในบ้าน แต่อย่างไรก็ดีด้วยหน้าตาที่น่ารัก ดึงดูดผู้คน ก็มีความเสี่ยงที่จะโดนลักพาตัวไปได้เช่นกัน ฉะนั้นก็อย่าทิ้งน้องแมวไว้กลางแจ้งโดยที่ไม่มีคนเฝ้าดูล่ะ

 

อุปกรณ์เสริมทักษะและความต้องการเฉพาะตัว


กิจกรรมต่าง ๆ ที่ใช้ของเล่น ลูกบอล อุปกรณ์ให้อาหารลับสมองน้องแมว หรือใด ๆ ก็ตาม เป็นสิ่งที่เจ้าแมวออสเตรเลียน มิสต์ชอบ แต่ในขณะเดียวกันก็ชอบการนั่งบนตักดูทีวีไปกับคุณเจ้าของ หรือการได้คอยขัดขวางคุณเจ้าของ เวลาจะทำงาน แมวพวกนี้จริงจังกับการนอนบนตักพอ ๆ กับการเล่นไม้แมวเลยทีเดียว ซึ่งจริง ๆ แล้วปัจจัยสำคัญที่สร้างความสุขใจให้กับน้องแมวพันธุ์นี้ก็คือการได้ใช้เวลากับคุณเจ้าของนั่นเอง

 

การเป็นสมาชิกครอบครัว


แมวออสเตรเลียน มิสต์ เป็นแมวที่ชอบบรรยากาศครอบครัวที่ผ่อนคลาย ตราบใดที่ยังมีคนอยู่เป็นเพื่อนตลอดเวลา เพราะเป็นแมวที่ชอบใช้เวลาอยู่กับคน และจะดียิ่งขึ้นไปอีกหากสมาชิกในบ้านเป็นเด็กที่ค่อนข้างโตพอจะเข้าใจและเคารพในพื้นที่ส่วนตัวของน้องแมว

อเมริกันช็อตแฮร์ (American Shorthair)

ทำความรู้จักน้องแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ (American Shorthair)
เชื่อว่าหลายๆ คนไม่ว่าจะอยู่ในวงการทาสแมวหรือไม่ เมื่อพูดถึงสายพันธุ์แมวก็ต้องนึกถึงน้องสายพันธุ์อเมริกัน ช็อตแฮร์ (American Shorthair) เป็นอันดับต้นๆ เรียกได้ว่าถึงไม่รู้จักแต่ก็ต้องเคยเห็นหน้ามาก่อนที่ไหนสักแห่ง แม้ว่าจะมีลายเต็มตัว แต่หัวใจของน้องแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ นั้นอ่อนโยนไม่แพ้ใคร สายครอบครัวที่อยากมีน้องแมวไว้เล่นกับเด็กๆ มาทางนี้ เพราะน้องแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ เป็นเพื่อนเล่นที่น่ารักของเด็ก รวมถึงสมาชิกตัวอื่นๆ ของครอบครัวด้วย เรียกว่าขึ้นแท่นลูกรักอันดับ 1 ของหลายๆ บ้านไปเรียบร้อยโรงเรียนแมวไปเลยทีเดียว

 

The need-to-know

 

  • แมวขี้เล่นขี้สงสัย
  • รักอิสระ
  • แมวพูดเก่งเล็กน้อย
  • รูปร่างทั่วไป
  • ต้องดูแล/ตัดขนทุกวัน
  • ต้องการพื้นที่นอกบ้านบ้าง
  • แมวที่เหมาะกับเลี้ยงในครอบครัว
บุคลิกภาพ

เริ่มต้นด้วยการเป็นแมวที่ถูกเลี้ยงเอาไว้เพื่อล่าหนู แม้ว่าเมื่อเวลาผ่านไปบทบาทหน้าที่ตรงนั้นของน้องแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ จะลดน้อยลงและบทบาทของการเป็นสัตว์เลี้ยงของครอบครัวจะเพิ่มขึ้น แต่น้องแมวสายพันธุ์นี้ก็ยังดำรงไว้ซึ่งสัญชาตญาณของการเป็นนักล่าที่ดี แมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ เรียกได้ว่ามีนิสัยที่ค่อนข้างจะเป็นกลางอย่างมาก ลักษณะภายนอกที่ดูสงบนิ่งแต่ก็ไม่ได้เฉื่อยชา น้องเป็นแมวที่ค่อนข้างตื่นตัวและชื่นชอบการเล่นอยู่พอสมควร ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ต้องการความสนใจและเวลาจากเจ้าของมากจนเกินไป ด้วยความเป็นแมวที่ถูกเลี้ยงไว้ใช้งานตั้งแต่ต้นทำให้แมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ เป็นแมวที่ค่อนข้างฉลาดและชื่นชอบการเล่นของเล่นที่มีความซับซ้อน ต้องแก้ปัญหาหรือของเล่นที่สามารถโต้ตอบกับน้องแมวได้

ด้านการเข้าสังคมน้องแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ มักทำได้ดี น้องแมวมีความกล้าหาญและมักเข้ากันได้ดีกับคนแปลกหน้า ไม่ได้ขี้กลัวจนต้องวิ่งไปหลบอยู่ใต้ตู้ใต้เตียงเมื่อมีแขกมาเยี่ยมถึงบ้าน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณคนแปลกหน้าใครจะอุ้มน้องไปไหนก็ได้นะ

เมื่อพูดถึงการอุ้ม อเมริกัน ช็อตแฮร์ ไม่ใช่น้องแมวที่จะชอบให้คุณอุ้มเดินไปไหนต่อไหนอยู่ตลอดเวลา จงปล่อยให้เขาเดินบนขาน้อยๆ ทั้งสี่ของตัวเอง น้องอาจจะไม่ได้เป็นแมวที่เข้ามาอ้อนของนั่งบนตักของคุณ แต่น้องก็ยังชื่นชนชอบที่จะมีมุมเล็กๆ นั่งข้างๆ คุณบนโซฟาหรือบนเตียงนอน ลักษณะของขน และสีของแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์

แมวอเมริกัน ช็อตแฮร์มีสีสันและลวดลายหลากหลาย มีสีตั้งแต่ซิลเวอร์ น้ำตาลอ่อน น้ำตาลแดง ส้ม เทาเข้ม และลวดลายตั้งแต่สีล้วน ลายแท็บบี้ ลายปลาสลิด สองสี สามสี ลายกระดองเต่า แต่ภาพจำที่นิยมที่สุดและเราดูจะคุ้นเคยเกี่ยวกับแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์คงจะเป็นแพทเทิร์นที่เรียกว่า Silver classic tabby

แมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ เป็นน้องแมวที่มีขนสั้น ดังนั้นการดูแลเส้นขนของน้องแมวสายพันธุ์นี้จึงค่อนข้างง่ายและไม่ซับซ้อน และคุณแทบจะไม่ต้องเผชิญกับปัญหาขนร่วงติดตามเสื้อผ้าและเฟอร์นิเจอร์เท่ากับแมวสายพันธุ์อื่นๆ ที่มีขนยาว แน่นอนว่าการแปรงขนน้องแมวทุกวันเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างเป็นประจำ แต่สำหรับน้องแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ การแปรงขนเพียงสัปดาห์ละสองครั้งเพื่อช่วยกำจัดเส้นขนที่ตายแล้วให้ร่วงหลุดออกไปก็เพียงพอ นอกจากจะช่วยในเรื่องของการผลัดขนแล้วยังช่วยกระตุ้นให้ผิวหนังของน้องสร้างน้ำมันเคลือบผิวเพื่อความชุ่มชื้นและขนที่สวยเงางามอีกด้วย

ทั้งนี้ทั้งนั้นความหนาของเส้นขนรวมไปถึงปริมาณของการหลุดร่วงนั้นมีปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพของน้องแมว ความแข็งแรงของเส้นขน สภาพอากาศและฤดูกาล ทั้งนี้อาจมีการเสริมสารอาหารที่มีวิตามินอี โอเมก้า 3 โอเมก้า 6 ให้กับน้องแมวเพื่อช่วยบำรุงผิวและเส้นขน

ประวัติและต้นกำเนิด

ถิ่นกำเนิด: สหรัฐอเมริกา

 

ในความเป็นจริงประวัติของน้องแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ นั้นยังคงคลุมเครือไม่ชัดเจน แต่ที่ไม่ต้องสงสับก็คือน้องแมวเหล่านี้ลงเรือโดยสาร “Mayflower” จากประเทศอังกฤษมาขึ้นฝั่งยังเมือง Plymouth รัฐ Massachusetts พร้อมกับชาวอังกฤษ (หรือชาวอเมริกัน) กลุ่มแรกในปี ค.ศ. 1620 ด้วยความสามารถในการจับหนูทำให้น้องแมวมีประโยชน์อย่างมากสำหรับเรือโดยสาร บางหลักฐานกล่าวว่าน้องแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ อาจมาถึงทวีปอเมริกาเหนือก่อนหน้านั้น ไม่ว่าจะเป็นการมากับเรือของเหล่าผู้เริ่มก่อตั้ง Jamestown Colony ในรัฐ Virginia หรือเราสำรวจของเสปนที่ไปยังรัฐ Florida หรือแม้กระทั่งมาพร้อมกับเรือของเหล่าไวกิ้งไปยังเมือง Newfoundland ประเทศแคนาดา ลูกหลานของเหล่าน้องแมวโพ้นทะเลเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันในนาม domestic shorthair จนกลายมาเป็นสายพันธุ์ American shorthair ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน

บนพื้นดินน้องแมวนั้นมีประโยชน์พอๆ กับบนเรือ บรรดาชาวไร่ เจ้าของร้านค้า หรือแม้กระทั่งคนดูแลบ้านนั้นต้องการน้องแมวที่เก่งกาจเพื่อเป็นองครักษ์ปกป้องพืชผลและอาหารที่พวกเขาเก็บไว้ให้พ้นจากพวกหนูและสัตว์รังควานอื่นๆ ดังนั้นความอดทนและขยันขันแข็งของแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ จึงเหมาะกับโลกใหม่ที่ยังไม่มีใครรู้จักอย่างยิ่ง เห็นได้จากบันทึกหลักฐานในปี ค.ศ. 1634 ว่าน้องแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ ช่วยปกป้องข้าวโพดซึ่งเป็นผลผลิตใน New England จากเหล่ากระรอกและตัวชิพมั้งค์ และจากชายฝั่งด้านตะวันออกของทวีป เหล่าน้องแมวก็ได้กระจายตัวไปทางตะวันตกพร้อมกับเหล่าสหายอเมริกันชนรุ่นบุกเบิก

ในปี ค.ศ. 1895 แมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ ได้เข้าร่วมเปิดตัวในงานโชว์แมวของประเทศสหรัฐอเมริกา เหล่าบรรดาผู้คลั่งไคล้แมวกำหนดให้น้องแมวเหล่านี้เป็นหนึ่งในแมวสายพันธุ์แท้ในปี ค.ศ. 1906 โดยเริ่มแรกจากที่รู้จักกันในนาม Domestic shorthair จนสุดท้ายในปี ค.ศ. 1966 จึงได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นสายพันธุ์แมว อเมริกัน ช็อตแฮร์ ซึ่งเป็นที่รู้จักมาจนถึงปัจจุบัน

ขนาดของแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์
น้องแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ ถือเป็นแมวขนาดกลางค่อนไปทางใหญ่ โดยเฉลี่ยน้ำหนักตัวอยู่ที่ 3.5 - 7 กิโลกรัม ความสูงเฉลี่ย 8-10 นิ้ว ความยาวเฉลี่ยอยูที่ 12 – 15 นิ้ว (ทรงออกยาวมากกว่าสูง) มีอายุขัยเฉลี่ยที่ 15-20 ปี แมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ เป็นแมวที่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นนักล่า กล้ามเนื้อที่แข็งแรงเพื่อการกระโจน วิ่ง และปีนต้นไม้ได้อย่างคล่องแคล่ว ใบหน้าที่ค่อนข้างกลมดูมีแก้มหน่อยๆ ในหูขนาดกลางค่อนข้างกลม ดวงตาโตและกว้าง

โภชนาการและการให้อาหาร

สารอาหารที่จำเป็นสำหรับอเมริกัน ช็อตแฮร์ ควรมีสัดส่วนที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย และกิจกรรมในแต่ละวันของแมวสายพันธุ์นี้ โดยสารอาหารจำเป็นที่ควรมีในอาหารของอเมริกัน ช็อตแฮร์ ได้แก่

1. โปรตีน : เพื่อสร้างเนื้อเยื่อที่เป็นโครงสร้างหลักของร่างกาย ในอาหารควรมีกรดอะมิโน ซึ่งเป็นหน่วยย่อยของโปรตีนอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรดอะมิโนชนิดที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้

2. คาร์โบไฮเดรต : เพื่อเป็นแหล่งพลังงานในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเซลล์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เซลล์ประสาท เซลล์หัวใจ และเม็ดเลือดแดง อาหารที่มีคุณภาพดีควรมีการคำนวณปริมาณคาร์โบไฮเดรตอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการเกิดโรคอ้วน

3. ไขมัน : ช่วยให้พลังงานแก่ร่างกาย โดยให้พลังงานได้สูงกว่าโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต นอกจากนี้ไขมันยังช่วยในการดูดซึมวิตามิน รวมทั้งยังช่วยเสริมการทำงานของระบบห่อหุ้มร่างกาย เช่น โอเมก้า 3 และ 6

4. วิตามิน และแร่ธาตุอื่นๆ : แม้ร่างกายจะต้องการวิตามินและแร่ธาตุในปริมาณน้อย แต่หากได้รับไม่เพียงพอหรือได้รับมากเกินไป ก็อาจส่งผลต่อการทำงานของร่างกาย และทำให้ร่างกายเกิดความผิดปกติได้ ตัวอย่างวิตามินและแร่ธาตุที่ร่างกายสุนัขต้องการ ได้แก่ วิตามินบี แคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นต้น

แม้ว่าน้องแมวสายพันธุ์นี้จัดว่าเป็นแมวที่มีสุขภาพแข็งแรง แต่ก็อาจพบปัญหาสุขภาพได้เช่นกัน เช่นที่กล่าวไปแล้วเกี่ยวกับปัญหาโรคหัวใจ และปัญหาที่พบได้ทั่วไปอย่างก้อนขนอุดตัน หรือขนร่วง รวมทั้งปัญหาผิวหนังอื่นๆ เช่น เชื้อรา จึงต้องไม่ลืมที่จะเลือกอาหารที่มีสารอาหารบำรุงกล้ามเนื้อหัวใจ และผิวหนัง อย่าง เพียวริน่า วัน เท็นเดอร์ ซีเล็กซ์ เบลนด์ สูตรปลาแซลมอน ที่มีโปรตีนคุณภาพสูงจากปลาแซลมอน แหล่งสำคัญของกรดอะมิโน เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรง และยังมีโอเมก้า 3 & 6 และวิตามิน E, A ที่ช่วยบำรุงผิวหนังให้เงางาม นอกจากนี้ควรหมั่นแปรงขนให้น้องแมวสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อช่วยขจัดเอาขนที่ตายแล้วออก และไม่ลืมที่จะสำรวจดูผิวหนังของน้องแมวของเราเป็นประจำด้วย

ความต้องการพิเศษของแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์
ข้อดีของน้องแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์คือเป็นแมวที่ดูแลค่อนข้างง่าย โดยทั่วไปเหมือนกับการดูแลสุขภาพโดยรวมของน้องแมวสายพันธุ์อื่นๆ ควรดูแลช่องปากของน้องแมวทุกวัน แต่หากคุณเจ้าของไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ การแปรงฟันอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย

น้องแมวควรได้รับการตัดเล็บทุกหนึ่งหรือสองสัปดาห์ เพียงเล็มตรงปลายแหลมของเล็บออกเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ รวมทั้งทำความสะอาดบริเวณรอบดวงตาเป็นประจำโดยใช้ผ้านุ่มๆ ชุบน้ำหรือน้ำเกลือพอหมาดเช็ดทำความสะอาดโดยเฉพาะบริเวณหัวตาเพื่อเอาคราบขี้ตาออก ข้อแนะนำคือควรใช้ผ้าคนละมุมกับดวงตาแต่ละข้าง เพื่อลดโอกาสเสี่ยงของการติดเชื้อระหว่างดวงตาทั้งสองข้าง นอกจากนี้ยังควรมีการทำความสะอาดช่องหูควรทำสัปดาห์ละครั้ง (ในกรณีที่หูน้องแมวไม่ได้อักเสบหรือติดเชื้อ) หากบริเวณช่องหูดูสกปรกให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดทำความสะอาด หรือใช้น้ำยาล้างช่องหูช่วยในการทำความสะอาด จากนั้นใช้ผ้าหรือสำลีแห้งเช็ดทำความสะอาดอีกครั้งให้แห้ง ควรหลีกเลี่ยงการใช้ก้านสำลีทิ่มเข้าไปในช่องหู อาจทำให้เกิดภาวะช่องหูอักเสบได้

เนื่องจากน้องแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ เป็นแมวที่ค่อนข้างกินง่ายและกินเก่ง ดังนั้นน้องจึงมีความเสี่ยงของการน้ำหนักเกินหรือเรียกง่ายๆ ว่าอ้วน ดังนั้นแนะนำการให้อาหารแบบเป็นมื้อแทนการวางไว้ให้น้องกินได้ตลอดเวลาแทน หลีกเลี่ยงการให้ขนม (หรือให้แค่เล็กน้อย) หรืออาหารคน (อันนี้ไม่ควรให้เลย) เพื่อเป็นการช่วยควบคุมน้ำหนักน้องแมว

กระบะทรายของน้องแมวควรที่จะสะอาดอยู่เสมอ เรื่องห้องน้ำกับน้องแมวเป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก หากคุณเจ้าของไม่หมั่นทำความสะอาดกระบะทราย น้องแมวจะเริ่มที่จะไปหาที่ขับถ่ายในบริเวณอื่นของบ้านแทนซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย ควรเลี้ยงน้องแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ ไว้ในบ้านเป็นส่วนใหญ่ นอกจากจะช่วยลดโอกาสในการติดโรคจากแมวบ้านอื่น ไหนจะการโดนสุนัขไล่หรือทำร้าย รวมไปถึงการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน การเลี้ยงน้องแมวในบ้านยังช่วยปกป้องเหล่าบรรดานกและสัตว์เล็กน้อยรอบบริเวณบ้าน อย่าลืมว่าน้องแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ ของคุณถูกสร้างมาเพื่อเป็นนักล่า อีกเหตุผลหนึ่งคือเพื่อลดความเสี่ยงของการที่น้องจะถูกอุ้มลักพาตัวไปจาหฝีมือของคนประเภทที่อยากมีแมวสวยๆ แต่ไม่อยากลงทุนซื้อ

ข้อมูลอื่นๆ

สุขภาพและปัญหาที่มักพบ


น้องแมวทุกตัวไม่ว่าจะเป็นพันธุ์แท้หรือพันธุ์ผสมล้วนมีปีญหาสุขภาพที่หลากหลายและแตกต่างกันออกไป โดยทั่วไปน้องแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ เป็นสายพันธุ์ที่ค่อนข้างแข็งแรง ไม่ค่อยมีโรคประจำสายพันธุ์ แต่ทางที่ดีคุณเข้าของควรสอบทางจากทางผู้เพาะพันธุ์ก่อนถึงประวัติการเจ็บป่วยหรือโรคที่เคยเกิดขึ้นกับบรรดาพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายของน้องแมวที่คุณจะรับมาเลี้ยง เพื่อให้แน่ใจว่าน้องแมวจะไม่มีความสี่ยงในการเกิดภาวะความผิดปกติที่เกิดจากโรคทางพันธุกรรม ทั้งนี้โรคที่มักพบได้บ่อยในน้องแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ ได้แก่

โรคหัวใจ Hypertrophic cardiomyopathy ซึ่งเป็นโรคหัวใจประเภทหนึ่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นยังไม่มีรายงานว่าโรคนี้เป็นโรคที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้หรือไม่

 

แมวพันธุ์นี้กับเด็ก


ด้วยอุปนิสัยที่ค่อนข้างนิ่งแต่ก็ชอบทำกิจกรรมไปด้วยทำให้น้องแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ เหมาะสำหรับครอบครัวที่มีเด็กๆ น้องแมวสามารถเล่นกับเด็กๆ แถมพวกเขาสามารถที่จะสอนทริคเล็กๆ น้อยๆ ให้แก่น้องแมวได้ด้วย แมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ สามารถเลี้ยงรวมกับสุนัขสายพันธุ์ที่ไม่เป็นอัตรายกับน้องแมว เช่น กลุ่มสุนัขพันธุ์ทอย หรือเหล่าสุนัขใหญ่ใจดีทั้งหลาย แต่ไม่แนะนำให้เลี้ยงน้องแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ กับสัตว์เลี้ยงขนาดเล็กอื่นๆ โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงที่เป็นเหยื่อ เช่น นก ปลา หนูแฮมสเตอร์ กระต่าย เป็นต้น เนื่องจากสัญชาตญาณนักล่าของแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ อาจก่อให้เกิดเรื่องไม่ค่อยดีตามมาได้ ส่วนสำหรับแมวอื่นสามารถเลี้ยงรวมกันได้ แต่ควรให้ค่อยๆทำความรู้จักกันไปก่อน อาจเลี้ยงแยกในช่วงแรกแต่ให้น้องแมวสามารถมองเห็นหรือได้กลิ่นกันได้ จากนั้นค่อยๆ ทำความรู้จักกันมากขึ้นเรื่อยๆ

ผู้เลี้ยงที่เหมาะกับแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์
สำหรับผู้ที่อยากเริ่มเลี้ยงแมว แมวตัวแรกของคุณอาจเป็นอเมริกัน ช็อตแฮร์ กินง่าย อยู่ง่าย ขนาดกำลังพอดีไม่เล็ก –ไม่ใหญ่จนเกินไป อเมริกัน ช็อตแฮร์ เหมาะกับบ้านที่เป็นครอบครัวที่มีเด็ก เป็นเพื่อนเล่นช่วยคุณดูแลเด็กๆ ได้ แถมยังเข้ากันได้กับสุนัขบางสายพันธุ์อีกด้วย

ส่วนคนที่ไม่ได้มีเวลามานั่งประคบประหงมน้องแมวได้ตลอดเวลา แมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ ก็สามารถอยู่ได้ด้วยตัวของเขาเอง เพียงคุณมีเวลาแวะมาทักทายและกระชับความสัมพันธ์ มาเล่นกันบ้างเป็นประจำ แต่ถ้าคุณจำเป็นต้องทำงานน้องก็จะนั่งอยู่ข้างๆ เป็นกำลังใจให้คุณโดยจะไม่มาก่อกวนหรือนอนทับแล็บท็อปของคุณ ที่สำคัญใครที่ไม่ค่อยมีเวลาในการแปรงขนน้องแมวทุกวัน เพียงแค่อย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้งก็เพียงพอแล้วสำหรับแมวสายพันธุ์นี้

สฟิงซ์

จุดเด่นของแมวสฟิงซ์คือเป็นแมว “ไร้ขน” แม้ดูภายนอกจะเหมือนแมวไร้ขน แต่อันที่จริงแล้วสฟิงซ์มีขนนุ่มละเอียดปกคลุมทั่วรางกาย ให้สัมผัสเหมือนเปลือกลูกพีช แมวพันธุ์นี้ไม่มีหนวดและขนตา หัวมีรูปทรงคล้ายกับหัวของแมวเดวอน เร็กซ์ ดวงตาลึกกลมคล้ายเลมอน รูปร่างของสฟิงซ์บอบบางแต่มีกล้ามเนื้อ อกหนากลม ขาเรียวยาวและดูโก่งจากอกทรงกลม หางยาวเรียวและสากเมื่อสัมผัส แมวสฟิงซ์ตัวอุ่นนุ่มเมื่อสัมผัสจนได้รับฉายาว่าเป็น “กระเป๋าน้ำร้อนเดินได้” ผิวหนังบางส่วนบนหัว ข้างลำตัว และขามีรอยย่น แต่บริเวณอื่น ๆ จะตึงเรียบ นอกจากนี้ผิวหนังยังมีสีคล้ำอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังมีลวดลายและสีสันหลากหลาย

 

The need-to-know

 

  • แมวตื่นตัว อยากรู้อยากเห็นตลอดเวลาเข้ากับคนง่ายและต้องการการดูแล
  • แมวช่างพูด
  • รูปร่างผอมเพรียวและสง่างาม
  • ต้องดูแล/ตัดขนสัปดาห์ละครั้ง
  • สายพันธุ์แพ้ง่าย
  • Indoor cat
  • อาจต้องทำความคุ้นเคยก่อนนำมาคลุกคลีกับลูก
บุคลิกภาพ

แมวสฟิงซ์เข้าสังคมเก่ง ซุกซน เป็นมิตร และชอบให้คนสนใจ แมวไร้ขนพันธุ์นี้มักคอยต้อนรับเจ้าของเมื่อกลับถึงบ้าน และยังคุยเก่งอีกด้วย เป็นแมวที่ฉลาด ขี้เล่น และน่ากอด สฟิงซ์เป็นสุดยอดแมว “ขี้อ้อน” ชอบนอนใต้ผ้าห่มกับเจ้าของ อุณหภูมิร่างกายของสฟิงซ์สูงกว่าแมวทั่วไปโดยเฉลี่ย 1-2 องศา และกินเก่งมากซึ่งเป็นการชดเชยความร้อนที่สูญเสียไปจากร่างกาย ผู้เลี้ยงไม่ควรทิ้งสฟิงซ์ไว้ในที่หนาวเย็นเพราะเป็นสายพันธุ์ที่ไม่ทนอากาศหนาวจัด นอกจากนี้ยังไม่ชอบนั่งบนพื้นเย็น ๆ และชื่นชอบระบบทำความร้อนแบบทั่วทั้งหลังเป็นที่สุด ถ้าต้องพาออกนอกบ้านควรทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิว

 

ประวัติและต้นกำเนิด

ถิ่นกำเนิด: แคนาดา

 

ชื่ออื่น ๆ: แคนาเดียน แฮร์เลส แคท

 

“แมวไร้ขน” มีประวัติยาวนานหลายชั่วอายุคน ว่ากันว่าชาวแอซเท็คก็เลี้ยงแมวไร้ขนด้วยเช่นกัน สฟิงซ์เป็นแมวไร้ขนสายพันธุ์แรกที่มีการเพาะพันธุ์เพื่อให้ได้ลักษณะนี้  โครงการเพาะพันธุ์เริ่มขึ้นเมื่อปีค.ศ.1966 ในรัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา เมื่อมีแมวบ้านให้กำเนิดลูกแมวเพศผู้ไร้ขนตัวหนึ่ง อย่างไรก็ดี แมวสฟิงซ์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันมีเชื้อสายมาจากลูกแมวไร้ขนสามตัวในเมืองโทรอนโตในปีค.ศ.1978

โภชนาการและการให้อาหาร

แมวทุกตัวมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว  เมื่อพูดถึงอาหารแต่ละตัวจะมีความชอบ ไม่ชอบ และความต้องการแตกต่างกัน แมวเป็นสัตว์กินเนื้อและต้องได้รับสารอาหารต่าง ๆ ที่ครบถ้วน 41 ชนิดจากอาหารที่กินเข้าไป สัดส่วนของสารอาหารเหล่านี้แตกต่างกันไปตามอายุ วิถีชีวิต และสุขภาพโดยรวม จึงไม่ต้องแปลกใจไปหากลูกแมวที่กำลังโตและพลังล้นเหลือจะต้องการสารอาหารที่ต่างจากแมวสูงวัยที่ไม่ชอบขยับตัวไปไหน อีกข้อหนึ่งที่ต้องระลึกให้ขึ้นใจคือ ควรให้อาหารในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อรักษา “รูปร่างให้สมส่วน” ตามคำแนะนำของสายพันธุ์ และจัดอาหารสูตรเปียกหรือสูตรแห้งให้ตามที่แมวชอบ

 

ข้อมูลอื่นๆ

สุขภาพและปัญหาที่มักพบ


สายพันธุ์นี้มักมีปัญหาผิวหนัง รวมถึงผื่นคันและเชื้อรา ผู้เลียงต้องปกป้องผิวของแมวพันธุ์นี้จากการอักเสบของผิวไหม้แดด สฟิงซ์ก็เหมือนกับแมวทุกสายพันธุ์ที่ควรได้รับวัคซีนและตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปีเพื่อห่างไกลจากโรค

 

แมวพันธุ์นี้กับเด็ก


แม้ว่าแมวสายพันธุ์นี้จะไม่ได้ชื่อว่าเป็นมิตรและรักเด็กเป็นอันดับต้น ๆ  แต่แมวแต่ละตัวล้วนแตกต่างกัน หากฝึกให้คุ้นเคยกับเด็กแล้วย่อมอารมณ์ดีและอยู่ร่วมกับเด็กได้ 

แมววิเชียรมาศ (Siamese cat)

ทำความรู้จักแมววิเชียรมาศ (Siamese cat)
เชื่อว่าเหล่าบรรดาทาสแมวทั้งหลายคงไม่มีใครไม่รู้จักน้องแมวพันธุ์วิเชียรมาศ หรือ แมวสยาม (Siamese cat) ที่เป็นดั่งตัวแทนสายพันธุ์แมวแห่งประเทศไทย ที่นอกจากจะมีเอกลักษณ์จากลวดลายและสีขนบนตัวอันงดงามแล้ว ยังมีลักษณะนิสัยที่เป็นมิตร ขี้อ้อน จนสามารถคว้าใจเหล่าบรรดาทาสแมวมาแล้วทั่วโลก อีกทั้งยังช่วยเสริมโชคลาภ และเป็นสิริมงคลแก่ครอบครัวตามความเชื่อของคนไทยในสมัยโบราณอีกด้วย หากใครกำลังสนใจอยากได้น้องแมวสักตัวไปเลี้ยงเป็นเพื่อนแล้วล่ะก็ น้องแมววิเชียรมาศนับว่าเป็นแมวอีกสายพันธุ์ที่ควรรับไว้พิจารณาอย่างยิ่ง

ขนาดของแมววิเชียรมาศ
น้องแมวพันธุ์วิเชียรมาศ ถือเป็นแมวขนาดกลาง มีน้ำหนักตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 2.9 – 3.4 กิโลกรัม โตเต็มวัยที่อายุ 1 ปี เข้าสู่วัยชราที่อายุ 7 ปี มีอายุขัยประมาณ 15-20 ปี แมววิเชียรมาศตามธรรมชาติเป็นแมวนักล่าที่กินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร จึงมีรูปร่างที่ปราดเปรียว และว่องไว มีกล้ามเนื้อหาที่แข็งแรงสำหรับการกระโจน วิ่ง และปีนต้นไม้ มีหู ตาที่ไว และมีสัญชาตญาณนักล่าสูง

 

The need-to-know

 

  • แมวตื่นตัว อยากรู้อยากเห็นตลอดเวลา
  • เข้ากับคนง่ายและต้องการการดูแล
  • แมวช่างพูด
  • รูปร่างผอมเพรียวและสง่างาม
  • ต้องดูแล/ตัดขนสัปดาห์ละครั้ง
  • สายพันธุ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  • ต้องการพื้นที่นอกบ้านบ้าง
  • อาจต้องทำความคุ้นเคยก่อนนำมาคลุกคลีกับลูก
บุคลิกภาพ

ด้วยความที่ตามธรรมชาติแล้ว แมวพันธุ์วิเชียรมาศเป็นแมวที่ล่าสัตว์กินเองเป็นอาหาร จึงทำให้แมววิเชียรมาศมีความปราดเปรียวสูง เคลื่อนที่คล่องแคล่ว ว่องไว และมีสัญชาตญาณการเป็นนักล่าที่ดี มีความระแวงระวังภัยให้กับตัวเองสูง แต่ในขณะเดียวกันก็รักสงบ รักเจ้าของ และขี้อ้อนมาก

นอกจากนี้แมววิเชียรมาศยังมีลักษณะนิสัยช่างพูดคุย จนได้รับฉายาว่า Extremely talkative cat หรือแมวช่างพูด อันมีที่มาจากลักษณะนิสัยที่ชอบส่งเสียงร้อง ทั้งเพื่อพูดคุยกับเจ้าของ และบ่งบอกความต้องการของตัวเอง มีอุปนิสัยชอบเข้าสังคม และอยากรู้อยากเห็นสิ่งแปลกใหม่อยู่เสมอ หากใครชอบแมวที่มีนิสัยขี้อ้อน และช่างพูดคุยแล้ว แมววิเชียรมาศนับเป็นอีกสายพันธุ์หนึ่งที่ควรรับไว้พิจารณาเลยทีเดียว

แมววิเชียรมาศยังได้ชื่อว่าเป็นแมวที่มีหูดี ประสาทสัมผัสไว และสามารถสัมผัสเสียงได้จากระยะไกลแตกต่างจากแมวชนิดอื่นที่มักมีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยินอีกด้วย

ลักษณะของแมวพันธุ์วิเชียรมาศโดยทั่วไปมีขนสั้นสีขาว หรือน้ำตาลอ่อน มีแต้มสีครั่ง หรือสีน้ำตาลไหม้ที่บริเวณใบหน้า หูทั้งสองข้าง เท้าทั้งสี่เท้า หาง และบริเวณอวัยวะเพศ รวมทั้งสิ้น 9 ตำแหน่ง ขณะที่เป็นลูกแมวจะมีขนสีครีมอ่อน หรือขาวนวล โดยสีของขนจะมีลักษณะเข้มขึ้นเมื่ออายุของแมวมากขึ้นตามลำดับ หัวมีลักษณะไม่กลมหรือแหลมเกินไป หน้าผากใหญ่และแบน จมูกสั้น หูใหญ่ ตั้งสูงเด่นอยู่บนหัว ตามีลักษณะสีฟ้าเหมือนแก้วใส หางยาว ปลายแหลมชี้ตรง โคนใหญ่และค่อยๆเล็กเรียวกลมไปจนสุดปลายหาง ขายาวเรียวได้สัดส่วนกับลำตัว

ดวงตาสีฟ้าของแมวพันธุ์วิเชียรมาศได้รับการศึกษาพบว่า ลักษณะของยีนส์สีขนส่งผลต่อสีตา โดยยีนส์ที่ทำให้เกิดแต้มสีทั้ง 9 ตำแหน่งบนตัวของแมววิเชียรมาศนั้น ส่งผลยับยั้งการเจริญของเม็ดสีที่อยู่บนตาของแมว ทำให้แมววิเชียรมาศทุกตัวมีลักษณะตาสีฟ้าใสคล้ายแก้ว จนแมววิเชียรมาศได้รับการเรียกชื่ออีกชื่อหนึ่งว่าแมวแก้ว

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยพบว่าลักษณะสีขนซึ่งถูกควบคุมด้วยยีนส์จำนวนหลายยีนส์ในแมววิเชียรมาศนั้น ส่งผลให้แมววิเชียรมาศมีขนสีขาวทั้งลำตัว แต่ด้วยลักษณะเด่นของยีนส์ดังกล่าว ส่งผลให้ลักษณะของสีขนสามารถเปลี่ยนไปได้ตามอุณหภูมิสิ่งแวดล้อมที่แมวอาศัยอยู่ โดยหากแมววิเชียรมาศอาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เย็น หรืออุณหภูมิต่ำกว่า 100 องศาฟาเรนไฮต์ จะส่งผลให้สีขนของแมววิเชียรมาศมีลักษณะที่เข้มขึ้น และเมื่ออยู่อาศัยในสิ่งแวดล้อมที่ร้อน หรืออุณหภูมิสูงกว่า 100 องศาฟาเรนไฮต์ จะส่งผลให้สีขนของแมววิเชียรมาศมีลักษณะที่อ่อนลงตามลำดับ

ประวัติและต้นกำเนิด

ถิ่นกำเนิด: ประเทศไทย

 

ชื่ออื่น ๆ: แมวแก้ว และแมวสยาม

 

ประวัติและความเป็นมาของแมวพันธุ์วิเชียรมาศนั้นนับว่าอยู่คู่กับสังคมไทยมาช้านาน ตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยในสมัยนั้นแมววิเชียรมาศนับว่าเป็นแมวชั้นสูงที่ถูกเลี้ยงไว้เฉพาะภายในบริเวณพระบรมมหาราชวัง เพราะเชื่อว่าเป็นแมวมงคล ช่วยเสริมโชคลาภให้แก่ผู้เลี้ยงดู สามัญชนในสมัยนั้นจะไม่ได้รับอนุญาตให้เลี้ยงได้

 

คำว่าวิเชียรมาศ มีความหมายว่า เพชรแห่งดวงจันทร์ มาจากลักษณะของแมวที่มีดวงตาสีฟ้าดุจเพชร และสีลำตัวขาวนวลคล้ายดวงจันทร์ เป็นที่รู้จักกันอีกชื่อในนามแมวแก้ว และแมวสยาม (Siamese cat) ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกจากการที่ในสมัย พ.ศ. 2427 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชทานลูกแมววิเชียรมาศให้เป็นของขวัญแด่ทูตชาวอังกฤษ ต่อมาทูตท่านนั้นได้ให้การเลี้ยงดูลูกแมววิเชียรมาศเป็นอย่างดี และได้ส่งเข้าประกวดในเวที The Crystal Palace London ที่ถูกจัดขึ้น ณ พระราชวังคริสตัล ประเทศอังกฤษ โดยในการประกวดครั้งนั้น แมววิเชียรมาศได้รับชัยชนะ ส่งผลให้แมววิเชียรมาศเริ่มมีชื่อเสียง และรู้จักกันในชื่อ Siamese cat หรือแมวที่มาจากประเทศไทย เป็นที่นิยมมากในหมู่ผู้เลี้ยงแมวประเทศอังกฤษ จนถึงขั้นมีการจัดตั้งชมรมผู้เลี้ยงแมววิเชียรมาศขึ้นเลยทีเดียว ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทานแมววิเชียรมาศให้ทูตจากอีกหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา หรือประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้เกิดการแพร่กระจายของสายพันธุ์แมววิเชียรมาศไปทั่วโลกในเวลาต่อมา

โภชนาการและการให้อาหาร

สารอาหารที่จำเป็นสำหรับแมววิเชียรมาศ ควรมีสัดส่วนที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย และกิจกรรมในแต่ละวัน โดยสารอาหารจำเป็นที่ควรคำนึงถึง มีดังนี้

1. โปรตีน : สารอาหารสำคัญที่มีส่วนช่วยในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย มีหน้าที่ในการเป็นแหล่งพลังงานในการสร้างเนื้อเยื่อที่เป็นโครงสร้างหลักของร่างกาย โดยในอาหารควรมีกรดอะมิโน ซึ่งเป็นหน่วยย่อยของโปรตีนอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรดอะมิโนจำเป็น ที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นมาเองได้

2. คาร์โบไฮเดรต : สารอาหารที่เป็นแหล่งพลังงานหลักในร่างกาย ประกอบไปด้วยน้ำตาลทั้งโมเลกุลเดี่ยว และโมเลกุลคู่ที่เป็นแหล่งในการสร้าง ATP ที่มีความสำคัญต่อเซลล์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเซลล์ประสาท เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์หัวใจ และเม็ดเลือดแดง อาหารที่ดีควรมีระดับของคาร์โบไฮเดรตอย่างเหมาะสม อันเนื่องมาจากปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่มากเกินไปอาจเป็นที่มาของโรคอ้วนได้ นอกจากนี้คาร์โบไฮเดรตชนิดเยื่อใย หรือไฟเบอร์ ยังมีส่วนช่วยในการย่อยอาหาร และดูดซึมสารอาหาร อันจะช่วยให้อุจจาระมีลักษณะเป็นก้อน และคงสภาพการทำงานของลำไส้ให้มีประสิทธิภาพที่ดีได้อีกด้วย

3. ไขมัน : เป็นแหล่งสะสมพลังงานที่สำคัญของร่างกาย ให้พลังงานสูงกว่าคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการดูดซึมวิตามินชนิดละลายได้ในไขมัน อันได้แก่ วิตามิน A, วิตามิน D, วิตามิน E และวิตามิน K รวมทั้งยังมีส่วนช่วยในการส่งเสริมการทำงานของระบบห่อหุ้มร่างกาย ขน และผิวหนัง อันเป็นผลมาจากโอเมก้า 3 และ โอเมก้า 6 อีกด้วย

4. วิตามิน และแร่ธาตุอื่นๆ : แม้ร่างกายจะต้องการวิตามินและแร่ธาตุในปริมาณไม่มาก แต่นับเป็นส่วนสำคัญในการเจริญเติบโตของร่างกาย หากขาดหรือได้รับไม่เพียงพอ อาจส่งผลให้เกิดปัญหาตามมา หรือส่งผลเสียต่อการทำงานของระบบต่างๆได้ ตัวอย่างแร่ธาตุที่น้องแมววิเชียรมาศต้องการ ได้แก่ วิตามินเอ แคลเซียม และฟอสฟอรัส เป็นต้น

วิธีดูแลสุขชภาพของแมววิเชียรมาศให้สมบูรณ์แข็งแรงได้ ด้วยการเลือกอาหารที่ช่วยดูแลเรื่องทางเดินอาหาร รวมไปถึงดูแลสุขภาพช่องปาก ด้วย เพียวริน่า วัน เท็นเดอร์ ซีเล็กซ์ เบลนด์ สูตรปลาแซลมอน ที่มีโปรตีนคุณภาพสูงจากเนื้อปลาแซลมอนแท้ ๆ แหล่งของโปรตีนที่จำเป็นต่อร่างกาย อีกทั้งยังมีการผสมผสานระหว่างชิ้นเม็ดกรุบกรอบขนาดเล็กช่วยในการขัดฟัน ช่วยลดปัญหากลิ่นปาก และการเกิดคราบหินปูน ช่วยให้เหงือกมีสุขภาพดี ป้องกันการเกิดปัญหาเหงือกอักเสบ และปัญหาหินปูนในอนาคตได้

นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยใยอาหารจากธรรมชาติ ช่วยให้ร่างกายน้องแมวสามารถย่อยและดูดซึมสารอาหารได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งยังช่วยบำรุงสุขภาพช่องท้อง หรือ Gut health ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อุจจาระเป็นก้อนขนาดเล็ก ลดปัญหากลิ่นเหม็นของอุจจาระได้ ให้น้องแมวสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก /

เพียวริน่า วัน เท็นเดอร์ ซีเล็กซ์ เบลนด์ สูตรปลาแซลมอน ยังอุดมไปด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส และแร่ธาตุที่สำคัญ น้องแมวจึงมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง ทำให้เคลื่อนไหว และเล่นสนุกได้อย่างคล่องแคล่ว กระโดดและทรงตัวได้ดี อีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระจากวิตามิน A วิตามิน E และซิลิเนียม ช่วยเสริมภูมิต้านทาน ให้น้องแมวแข็งแรง ไม่ป่วยง่ายอีกด้วย

ความต้องการพิเศษของแมววิเชียรมาศ
แมวพันธุ์วิเชียรมาศเป็นแมวพื้นถิ่นของประเทศไทย อาศัยในพื้นที่เขตร้อน และขนสั้น จึงส่งผลให้เป็นแมวที่ค่อนข้างดูแลง่าย โดยทั่วไปการดูแลวิเชียรมาศไม่ได้แตกต่างจากแมวสายพันธุ์อื่น ๆ แต่ควรเน้นที่การดูแลสุขภาพช่องปากเป็นพิเศษ เนื่องจากพบปัญหาเกี่ยวกับเหงือกและฟันได้ค่อนข้างง่าย โดยวิธีการดูแลควรใส่ใจตั้งแต่ชนิดอาหารที่ให้ ควรมีลักษณะที่แข็ง และรูปทรงที่ดีเพื่อช่วยในการขัดฟัน หรือคอยหมั่นแปรงฟันน้องแมวอยู่เสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง

เช่นเดียวกับแมวสายพันธุ์อื่น ๆ เล็บของแมววิเชียรมาศจะยาวขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดช่วงอายุขัย การตัดเล็บทุกหนึ่งหรือสองสัปดาห์จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยการเล็มบริเวณปลายแหลมของเล็บออกเพื่อป้องกันการเกี่ยว หรือขูด อันจะนำมาซึ่งปัญหาอื่น ๆ ตามมาได้ รวมทั้งทำความสะอาดบริเวณใบหน้า รอบตา ด้วยการคอยหมั่นเช็ดขี้ตาออกเป็นประจำด้วยการใช้ผ้านุ่ม ๆ ชุบน้ำอุ่นเช็ดรอบดวงตา นอกจากนี้ยังควรมีการทำความสะอาดช่องหูด้วยสัปดาห์ละครั้ง โดยอาจใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดบริเวณที่สกปรกเบา ๆ หรือใช้น้ำยาล้างหูน้องแมวโดยเฉพาะ จากนั้นใช้ผ้าหรือสำลีสะอาดเช็ดให้แห้ง เพื่อป้องกันการเกิดภาวะช่องหูอักเสบ

สำหรับน้ำหนักตัวน้องแมววิเชียรมาศควรควบคุมให้อยู่ในช่วงน้ำหนักที่เหมาะสม โดยการให้อาหารปริมาณตามคำแนะนำข้างถุง และหลีกเลี่ยงการให้อาหารปริมาณมาก หรือวางอาหารไว้ทั้งวัน เพื่อป้องกันภาวะน้ำหนักเกิน ให้ขนมแมวบ้างเป็นบางครั้ง เพื่อป้องกันการเบื่ออาหาร แต่ไม่ควรมากเกินไป

การดูแลความสะอาดของกระบะทรายแมวก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญ เนื่องจากแมววิเชียรมาศมีลักษณะนิสัยที่รักความสะอาด หากไม่หมั่นดูแล หรือคอยเปลี่ยนทรายแมวเป็นประจำ อาจทำให้น้องแมวไม่ยอมปัสสาวะ และเกิดปัญหาทางระบบทางเดินปัสสาวะตามมาได้

ข้อมูลอื่นๆ

สุขภาพและปัญหาที่มักพบ


ด้วยความที่ตามธรรมชาตินั้น แมวพันธุ์วิเชียรมาศจัดเป็นแมวนักล่า จึงทำให้กล้ามเนื้อของแมวสายพันธุ์นี้แข็งแรง เพราะต้องใช้ในการเคลื่อนไหวเพื่อความคล่องตัว แต่ในทางกลับกันกลับมีรายงานพบว่าแมววิเชียรมาศนั้นมีทางเดินอาหารที่ไม่แข็งแรง มักพบอาการอาเจียน และท้องเสียบ่อย ระบบทางเดินอาหารจึงควรได้รับการใส่ใจเป็นพิเศษ นอกจากนี้แมววิเชียรมาศยังมักพบปัญหาเกี่ยวกับเหงือกและฟัน อันได้แก่ ปัญหาเหงือกอักเสบ และปัญหาหินปูน ปัญหาสุขภาพที่พบได้ในแมวพันธุ์วิเชียรมาศ ได้แก่

- ปัญหาระบบทางเดินอาหาร : แม้ว่าแมววิเชียรมาศจะมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง แต่ระบบทางเดินอาหารกลับอ่อนแอ และมักพบปัญหาได้มาก เช่น การอาเจียน และท้องเสีย ระบบทางเดินอาหารจึงควรได้รับการใส่ใจเป็นพิเศษ

- ปัญหาเกี่ยวกับเหงือกและฟัน : แมววิเชียรมาศยังมักพบปัญหาเกี่ยวกับเหงือกและฟัน เช่น เหงือกอักเสบ และปัญหาหินปูน การดูแลและใส่ใจในอาหารที่ให้จึงเป็นสิ่งสำคัญ

 

แมวพันธุ์นี้กับเด็ก


แมววิเชียรมาศเป็นแมวอีกชนิดหนึ่งที่ชอบเข้าสังคม เข้ากับเด็กเล็ก และสัตว์ชนิดอื่นได้ง่าย สิ่งที่ต้องให้ระวังคือชนิดของสัตว์ที่มาอยู่อาศัยร่วมกับแมววิเชียรมาศ ควรเป็นสัตว์ที่ไม่ดุร้าย ตัวใหญ่ หรือพลังงานสูง เช่น สุนัขตัวใหญ่ หรือสุนัขที่มีนิสัยกระตือรือร้น ชอบเล่นตลอดเวลา เนื่องจากน้องทั้งสองอาจเล่นกันด้วยความรุนแรงจนเกิดการทะเลาะวิวาทตามมาได้ นอกจากนี้สัตว์ที่นำมาเลี้ยงกับแมววิเชียรมาศไม่ควรเป็นสัตว์ที่เป็นเหยื่อตามธรรมชาติ เช่น หนู นก ปลา หรือกระต่าย เนื่องจากสัตว์เหล่านี้ตามธรรมชาติคือเหยื่อของแมววิเชียรมาศ อาจกระตุ้นสัญชาตญาณนักล่าภายในตัวน้องได้

ผู้เลี้ยงที่เหมาะกับแมววิเชียรมาศ
สำหรับบรรดาทาสแมวที่กำลังมองหาแมวที่มีลักษณะเด่นเฉพาะตัว ฉลาด แสนรู้ ขี้อ้อน และช่างพูดคุย แมววิเชียรมาศเหมาะที่จะเป็นหนึ่งในตัวเลือกของคุณ อีกทั้งแมววิเชียรมาศยังเป็นสายพันธุ์ท้องถิ่นของประเทศไทย ขนสั้น สามารถทนอากาศร้อนได้ ไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลมากเป็นพิเศษเหมือนกับแมวขนยาวชนิดอื่น ๆ ตัวเล็ก ปราดเปรียว เลี้ยงง่าย แมววิเชียรมาศจึงเหมาะสมกับที่จะเป็นเพื่อนคุยแก้เหงา หรือหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวคุณอย่างยิ่ง

สก๊อตทิช โฟลด์ (Scottish fold)

ทำความรู้จัก สก๊อตทิช โฟล์ด [Scottish fold]
อีกหนึ่งสายพันธุ์น้องแมวที่เป็นที่รู้จักมากไม่แพ้สายพันธุ์ไหนก็คือ สายพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ [Scottish fold] ที่มีหูพับอันเป็นเอกลักษณ์แสนเก๋ที่ไม่เหมือนใคร หน้ากลมแป้น ขนอุยนุ่มน่ากอด ทำให้น้องแมวพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ น้องแมวผู้มาจากสก๊อตแลนด์ ยึดพื้นที่หัวใจเจ้าของหลายๆ คนไปแล้ว

แมวสายพันธุ์นี้มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 11 – 14 ปี ความสูงอยู่ที่ 10 – 12 นิ้ว ด้วยหูที่พบลงมา ทำให้ใบหน้าของสก๊อตทิช โฟลด์ ดูกลม จนหลายคนให้คำอธิบายแมวสายพันธุ์นี้ไว้อย่างเห็นภาพว่าเหมือนกับ นกฮูก โดยใบหูของสก๊อตทิช โฟลด์ จะมีทั้งแบบพับงอไปด้านหน้า เรียกว่า single fold แบบพับงอที่มากขึ้นหรือ double fold และแบบที่พับราบไปกับหัว หรือ triple fold โดยลูกแมวที่เกิดมาแล้วมีใบหูตั้งก็อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะใบหูของลูกแมวที่พับจะเริ่มมองเห็นเมื่อแมวมีอายุประมาณ 3 สัปดาห์

 

The need-to-know

 

  • แมวสงบ
  • เป็นมิตรแต่รักอิสระ
  • แมวเงียบ
  • รูปร่างทั่วไป
  • ต้องดูแล/ตัดขนสัปดาห์ละครั้ง
  • สายพันธุ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  • Indoor cat
  • อาจต้องทำความคุ้นเคยก่อนนำมาคลุกคลีกับลูก
บุคลิกภาพ

นอกจากใบหูพับที่เป็นเอกลักษณ์ของสายพันธุ์แล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ใครๆ ก็มักจะพูดถึงน้องแมวสายพันธุ์นี้ก็คือ ท่านั่งพักพุง (ท่าเดียวกับตัวเมียร์แคท) หรือไม่ก็ท่านอนหงายแผ่หลาบนพื้น ที่เรียกว่าใครได้เห็นท่าเหล่านี้ก็แทบจะอดใจเข้าไปจกพุงสก๊อตทิช โฟลด์ กันไม่ไหวเลยล่ะ

แม้ว่าแมวสายพันธุ์นี้จะมีใบหูพับ แต่ว่าใบหูของแมวก็ทำงานเพื่อการสื่อสารได้เต็มประสิทธิภาพไม่ต่างจากแมวสายพันธุ์อื่น นอกจากนี้ความฉลาดของสก๊อตทิช โฟลด์ ก็ไม่เป็นรองใคร ทำให้แมวสายพันธุ์นี้ชอบเล่นของเล่นที่ท้าทายความสามารถ ใครที่เลี้ยงสก๊อตติช โฟลด์ อยู่และอยากหากิจกรรมเล่นกับแมวว่ากิจกรรมไหนที่ทำให้สก๊อตติช โฟลด์ ปลื้ม เราก็ขอบอกเลยตรงนี้ว่ากิจกรรมที่สก๊อตติช โฟลด์ โปรดปรานที่สุด ก็คือการเล่นกับเจ้าของนั่นเอง เพราะ สก๊อตติช โฟลด์ จัดว่าเป็นแมวที่ชอบอยู่กับคนมากๆ และต้องการมีส่วนร่วมในทุกกิจกรรมที่คุณทำ ต้องการการสนอกสนใจ ถ้าเป็นไปได้จะไม่เลือกอยู่เหงาๆ เงียบๆ ตัวเดียวอย่างเด็ดขาด มีน้องแมวตัวอื่นเป็นเพื่อนซักหน่อยก็ยังดี

เมื่อเจ้าของกลับมาบ้าน สก๊อตติช โฟลด์ จะคาดหวังว่าเจ้าของจะมาเล่นด้วย หรือน้อยที่สุดแค่ขอมานอนอยู่ที่ปลายเท้า หรือนอนกลิ้งอยู่กับเจ้าของยามนั่งดูทีวี เท่านี้สก๊อตทิช โฟลด์ ก็พอใจแล้ว

ประวัติและต้นกำเนิด

ถิ่นกำเนิด: สก็อตแลนด์

 

แมวพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ ถือกำเนิดขึ้นในประเทศสก็อตแลนด์ มีลักษณะเด่นคือหูพับมาทางด้านหน้า จากนั้นก็เริ่มมีคนสนใจนำแมวที่มีลักษณะหูพับนี้ไปปรับปรุงพันธุ์จนกระทั่งในปี 1966 ก็ได้มีการตั้งชื่อแมวหูพับนี้ว่า สก๊อตทิช โฟลด์ เพื่อเป็นเกียรติให้กับสถานที่ที่กำเนิดแมวสายพันธุ์นี้เป็นครั้งแรก แม้ในยุคแรกน้องแมวสายพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ ไม่เป็นที่ยอมรับนัก เพราะมีความเชื่อผิดๆ กันว่าลักษณะหูพับนี้อาจทำให้แมวพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ มีปัญหาเกี่ยวกับรูหูตามมา แต่ในภายหลังก็ได้มีการศึกษาและได้ข้อสรุปว่า การที่แมวมีหูพับนั้นไม่ได้มีผลต่อสุขภาพหูของแมวพันธุ์นี้แต่อย่างใด นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาแมวพันธุ์นี้ก็ได้รับการยอมรับในวงกว้างอย่างรวดเร็ว และเป็นหนึ่งในแมวที่มีคนนิยมเลี้ยงมากที่สุดในโลกอีกด้วย

 

ขนาดของแมวสก๊อตทิช โฟลด์


แมวพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ จัดว่าเป็นแมวที่มีขนาดกลาง รูปร่างกะทัดรัด ลำตัวกลมมน โดยเพศเมียมีน้ำหนักอยู่ราว 2.7-4 กิโลกรัม ในขณะที่เพศผู้มีน้ำหนักสูงได้ถึง 5.8 กิโลกรัม สามารถพบได้ทั้งน้องแมวที่มีหูพับ และแบบที่มีหูตั้ง ใบหน้ากลม ตากลมโตน่ารัก จมูกสั้น แบน และโค้งเล็กน้อย มีคอสั้นเมื่อเทียบกับพันธุ์อื่น

โภชนาการและการให้อาหาร

สารอาหารที่จำเป็นสำหรับสก๊อตทิช โฟลด์ ควรมีสัดส่วนที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย และกิจกรรมในแต่ละวันของแมวสายพันธุ์นี้ โดยสารอาหารจำเป็นที่ควรมีในอาหารของสก๊อตทิช โฟลด์ ได้แก่

1. โปรตีน : เพื่อสร้างเนื้อเยื่อที่เป็นโครงสร้างหลักของร่างกาย ในอาหารควรมีกรดอะมิโน ซึ่งเป็นหน่วยย่อยของโปรตีนอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรดอะมิโนชนิดที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้

2. คาร์โบไฮเดรต : เพื่อเป็นแหล่งพลังงานในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเซลล์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เซลล์ประสาท เซลล์หัวใจ และเม็ดเลือดแดง อาหารที่มีคุณภาพดีควรมีการคำนวณปริมาณคาร์โบไฮเดรตอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการเกิดโรคอ้วน

3. ไขมัน : ช่วยให้พลังงานแก่ร่างกาย โดยให้พลังงานได้สูงกว่าโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต นอกจากนี้ไขมันยังช่วยในการดูดซึมวิตามิน รวมทั้งยังช่วยเสริมการทำงานของระบบห่อหุ้มร่างกาย เช่น โอเมก้า 3 และ 6

4. วิตามิน และแร่ธาตุอื่นๆ : แม้ร่างกายจะต้องการวิตามินและแร่ธาตุในปริมาณน้อย แต่หากได้รับไม่เพียงพอหรือได้รับมากเกินไป ก็อาจส่งผลต่อการทำงานของร่างกาย และทำให้ร่างกายเกิดความผิดปกติได้ ตัวอย่างวิตามินและแร่ธาตุที่ร่างกายสุนัขต้องการ ได้แก่ วิตามินบี แคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นต้น

อาหารที่เหมาะสำหรับน้องแมวแอคทีฟอย่างสก๊อตทิช โฟลด์ ควรเลือกให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์และการใช้ชีวิต ที่มีโปรตีนสูง เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ อย่าง เพียวริน่า วัน สูตรสำหรับแมวเลี้ยงในบ้าน (PURINA ONE Indoor Advantage) ที่มีโปรตีนสูงถึง 38% เหมาะมากๆ สำหรับแมวเลี้ยงในบ้าน และยังอุดมด้วยไฟเบอร์จากธรรมชาติสูงถึง 5% ช่วยลดการก่อตัวของก้อนขนที่น้องแมวสก๊อตทิช โฟลด์ สะสมอยู่ในลำไส้จากการเลียทำความสะอาดร่างกาย ด้วยการผลักก้อนขนออกมาผ่านการขับถ่าย นอกจากนี้ยังมีโอเมก้า 3 และ 6 ช่วยบำรุงผิวหนังและขนให้มีสุขภาพดี เงางาม และดวงตาสดใส ที่สำคัญคือมีโปรตีนคุณภาพสูงมีโปรตีนจากเนื้อไก่งวง ช่วยสร้างเสริมกล้ามเนื้อและหัวใจให้แข็งแรง เหมาะกับน้องแมวสายแอคทีฟอย่างน้องแมวสก็อตติช โฟล์ด

ความต้องการพิเศษของแมวพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์
ปัญหาที่พบได้บ่อยในน้องแมวสายพันธุ์นี้หนีไม่พ้นเรื่องปัญหาช่องหู ด้วยโครงสร้างของใบหูที่พับปิดลงมาทำให้น้องแมวพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ มีโอกาสเกิดช่องหูอักเสบได้ เนื่องจากการสะสมของสิ่งสกปรกในช่องหู ดังนั้นเจ้าของควรทำความสะอาดใบหูน้องแมวเป็นประจำ โดยการใช้น้ำยาล้างหูสำหรับสัตว์เลี้ยงเทลงไปให้ท่วมใบหู จากนั้นใช้นิ้วคลึงบริเวณกกหูประมาณ 20 วินาที เพื่อให้น้ำยาละลายสิ่งสกปรกในรูหู แล้วปล่อยให้น้องแมวสะบัดหัวเพื่อสลัดเอาน้ำยาออก แล้วจึงใช้ผ้าซับบริเวณรอบๆ ใบหู ง่ายๆ เท่านี้ ทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อสุขภาพช่องหูของน้องแมวที่คุณรักห่างไกลปัญหาช่องหูอักเสบ

ข้อมูลอื่นๆ

สุขภาพและปัญหาที่มักพบ


ปัญหาสุขภาพที่สามารถพบได้ในแมวสายพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ ได้แก่

- โรคข้อเสื่อม โดยเฉพาะที่ข้อเท้า และข้อเข่า ซึ่งทำให้แมวเกิดความเจ็บปวด หรือมีอาการเคลื่อนไหวไม่สะดวก
- โรคหัวใจโต กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง เป็นอีกโรคที่พบได้บ่อยในแมวสายพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์

ซึ่งยังไม่มีการยืนยันว่าพันธุกรรมมีส่วนให้เกิดโรคในแมวสายพันธุ์นี้หรือไม่

- ปัญหาช่องหู อันเนื่องมาจากใบหูที่พับ อาจทำให้เกิดปัญหาอับชื้นและเกิดปัญหาหูอักเสบตามมาได้ ป้องกันก่อนเกิดปัญหาได้ง่ายๆ ด้วยการเช็ดหูให้น้องแมวเป็นประจำทุกสัปดาห์

 

แมวพันธุ์นี้กับเด็ก


สก๊อตทิช โฟลด์ จัดเป็นแมวสายพันธุ์ที่เหมาะมากกับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก และมีสุนัข (ที่เป็นมิตรกับแมว) สก๊อตทิช โฟลด์จะต้องการความสนใจจากเด็กๆ คนที่เล่นกับแมวอย่างสุภาพเบามือ สำหรับบ้านที่มีน้องหมา (ที่เป็นมิตรกับแมว) และกำลังจะเลี้ยงสก๊อตทิช โฟลด์ เป็นสมาชิกเพิ่มอีกตัว ก็อย่าลืมแนะนำให้สมาชิกใหม่มาทำความรู้จักกัน เพื่อให้พวกเขาได้เรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยกันด้วยนะ

ผู้เลี้ยงที่เหมาะกับแมวสายพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์
อย่างที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าหนึ่งในพฤติกรรมเด่นแสนเก๋ที่ทำให้น้องแมวพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ เป็นที่ถูกใจหลายๆ คน ก็คือท่านั่งเอนหลังโชว์พุงอุยๆ นอนแผ่กับพื้น หรือไม่ก็ยืนสองขา ได้อย่างเป็นธรรมชาติชนิดที่ว่าไม่ต้องสอนก็ทำเองได้ บวกกับเรื่องที่แมวสายพันธุ์นี้มีความเฉลียวฉลาด ชอบเล่นของเล่นที่ได้ประลองปัญญา เข้ากับเด็กๆ ได้ดี ชอบเล่นกับเจ้าของ จึงเหมาะกับเจ้าของที่พอมีเวลามาเล่นกับน้องแมวสานพันธุ์นี้ เพราะน้องแมวไม่ค่อยชอบอยู่แบบโดดเดี่ยวสักเท่าไหร่ ถ้ามีคนอยู่ด้วย หรือมีแมวตัวอื่นอยู่เป็นเพื่อนจะถูกใจน้องแมวพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ มากกว่า ถ้าได้น้องแมวสก๊อตทิช โฟลด์ มาแล้วต้องปล่อยให้เฝ้าบ้านคนเดียว น้องแมวเฉาแย่แน่ๆ

ส่วนบ้านที่เหมาะกับน้องแมวสายพันธุ์สุดแอคทีฟนี้จึงควรมีพื้นที่ให้สายพลังได้ปลดปล่อยด้วย การเลี้ยงน้องแมวในห้อง หรือคอนโด อาจจะไม่โดนใจน้องแมวสายพันธุ์นี้เท่าไหร่ เพราะที่วิ่งเล่นมีน้อยอาจทำให้น้องอกแตกได้ หรืออย่างน้อยหาเวลามาเล่นกับน้องวันละนิดวันละหน่อย ให้ได้ออกแรงซักวันละ 10 – 15 นาที แค่นี้ก็ทำให้แมวสก๊อตทิช โฟลด์ ฟินสบายใจไปทั้งวันแล้วล่ะ

รัสเซียนบลู

รัสเซียนบลูเป็นแมวขนาดกลางถึงใหญ่ มีรูปร่างเพรียวบาง งามสง่า และขาเรียวยาว มองผ่าน ๆ เหมือนเดินเขย่งปลายเท้าตลอดเวลา ส่วนหัวเป็นทรงสามเหลี่ยมกลับหัว พร้อมด้วยแผงหนวดที่โดดเด่นและใบหูขนาดใหญ่ ดวงตาของรัสเซียนบลูกลมโตคล้ายเมล็ดอัลมอนด์ ตั้งห่างกันและมีสีเขียวสดใส ขนของแมวพันธุ์นี้มีสองชั้น ขึ้นเรียงกันแน่นและสั้น ให้สัมผัสนุ่มละเอียด หากสัมผัสขนของรัสเซียนบลูแล้วจะรู้ว่าต่างจากสายพันธุ์อื่น และใช้เป็นเครื่องบ่งชี้สายพันธุ์นี้ได้อย่างแท้จริง แม้จะชื่อ “รัสเซียนบลู” แต่บางครั้งเราจะพบเห็นแมว “รัสเซียนแบล็ค” และ “รัสเซียนไวต์” ด้วยเช่นกัน ในกลุ่ม “รัสเซียนบลู” หรือรัสเซียสีน้ำเงินที่ได้รับความนิยมมากที่สุดนั้น สีขนด้านนอกจะออกเทาเหลือบน้ำเงินหรือเทาประกายเงิน

 

The need-to-know

 

  • แมวขี้เล่นขี้สงสัย
  • เป็นมิตรแต่รักอิสระ
  • แมวเงียบ
  • รูปร่างผอมเพรียวและสง่างาม
  • ต้องดูแล/ตัดขนสัปดาห์ละครั้ง
  • สายพันธุ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  • ต้องการพื้นที่นอกบ้านบ้าง
  • อาจต้องทำความคุ้นเคยก่อนนำมาคลุกคลีกับลูก
บุคลิกภาพ

รัสเซียนบลูเป็นแมวรักสงบและตกใจง่าย บางครั้งขี้อายและเก็บตัว แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นแมวที่จงรักภักดีกับเจ้าของที่มันเลือกไว้อย่างยิ่ง แมวสายพันธุ์นี้อาจระแวงคนแปลกหน้าและใช้เวลาสร้างความสัมพันธ์กับมนุษย์สักพัก แต่เมื่อได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ชื่นชอบแล้ว ก็จะเล่นของเล่นและชอบกระโดด ปีนป่าย และวิ่งไปมาอย่างปราดเปรียวและเท้าเบาที่สุดเชียว

 

ประวัติและต้นกำเนิด

ถิ่นกำเนิด: รัสเซีย

 

แมวรัสเซียนบลูเดิมรู้จักกันในชื่อ “แมวอาร์คแองเจิล” (Archangel Cat) เพราะเชื่อกันว่าแมวเดินทางมายุโรปทางเรือจากท่าเรือชื่อว่า “อาร์คแองเจิล” (Arkhangel'sk) ในประเทศรัสเซีย นอกจากนี้ยังเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “แมวสเปน” และ “แมวมอลทีส” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกาที่มีการเรียกชื่อนี้เรื่อยมาจนถึงต้นศตวรรษ อย่างไรก็ดี มีหลักฐานบ่งชี้ว่ารัสเซียนบลูจริง ๆ แล้วมีถิ่นกำเนิดมาจากรัสเซีย แมวในแถบสแกนดิเนเวียจำนวนมากมีสีขนคล้ายกับแมวพันธุ์รัสเซียนบลู แต่ลักษณะขนที่ขึ้นเรียงกันแน่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าแมวพันธุ์นี้อาศัยอยู่ในเขตภูมิอากาศทางเหนือมากกว่า แม้แมวพันธุ์รัสเซียนบลูจะเด่นที่พันธุ์สีน้ำเงิน แต่จริง ๆ แล้วมีสีดำและสีขาวด้วยเช่นกัน โดยสีใหม่เหล่านี้ปรากฏในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อแมวรัสเซียนบลูที่หลงเหลืออยู่เพียงไม่กี่ตัวผสมพันธุ์กับแมวบริติชบลูและแมววิเชียรมาศเพื่อรักษาจำนวนประชากรเอาไว้

โภชนาการและการให้อาหาร

แมวทุกตัวมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว  เมื่อพูดถึงอาหารแต่ละตัวจะมีความชอบ ไม่ชอบ และความต้องการแตกต่างกัน แมวเป็นสัตว์กินเนื้อและต้องได้รับสารอาหารต่าง ๆ ที่ครบถ้วน 41 ชนิดจากอาหารที่กินเข้าไป สัดส่วนของสารอาหารเหล่านี้แตกต่างกันไปตามอายุ วิถีชีวิต และสุขภาพโดยรวม จึงไม่ต้องแปลกใจไปหากลูกแมวที่กำลังโตและพลังล้นเหลือจะต้องการสารอาหารที่ต่างจากแมวสูงวัยที่ไม่ชอบขยับตัวไปไหน อีกข้อหนึ่งที่ต้องระลึกให้ขึ้นใจคือ ควรให้อาหารในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อรักษา “รูปร่างให้สมส่วน” ตามคำแนะนำของสายพันธุ์ และจัดอาหารสูตรเปียกหรือสูตรแห้งให้ตามที่แมวชอบ

 

ข้อมูลอื่นๆ

สุขภาพและปัญหาที่มักพบ


แมวรัสเซียนบลูเป็นสายพันธุ์ที่มีสุขภาพดี

 

แมวพันธุ์นี้กับเด็ก


แม้ว่าแมวสายพันธุ์นี้จะไม่ได้ชื่อว่าเป็นมิตรและรักเด็กเป็นอันดับต้น ๆ  แต่แมวแต่ละตัวล้วนแตกต่างกัน หากฝึกให้คุ้นเคยกับเด็กแล้วย่อมอารมณ์ดีและอยู่ร่วมกับเด็กได้ 

แร็กดอล

แร็กดอลเป็นแมวสายพันธุ์ใหญ่ มีพละกำลังและลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ แม้จะดูเป็นแมวขึงขัง จริงจัง แต่จริง ๆ แล้วเป็นแมวสบาย ๆ รักสงบสมชื่อ “แร็กดอล” ที่แปลว่า “ตุ๊กตาผ้า” ส่วนหัวของแมวพันธุ์แร็กดอลค่อนข้างกว้าง ด้านบนแบน และหูทั้งสองข้างตั้งห่างกัน ตาลึกกลมโตสีฟ้า ลำตัวของแมวพันธุ์นี้ยาว มีกล้ามอกกว้าง คอสั้นและขาตรงแข็งแรง อุ้งมือค่อนข้างกลมและใหญ่ มีขนแซมตามซอกนิ้ว ส่วนหางยาวเป็นพวง ขนของแมวพันธุ์แร็กดอลหนาละเอียดเหมือนเส้นไหม มีทั้งแบบขนยาวกลาง ๆ ไปจนถึงยาวมาก แต่สำหรับเหมียวที่โตเต็มไวแผงอกและรอบคอจะมีขนขึ้นแน่นฟู ขนแมวแร็กดอลจะมีอยู่ 3 แบบและแต่ละแบบจะมี 4 สี นอกจากนี้แร็กดอลบางตัวยังมีแต้มสีขาวบนหน้า หู หางและขาด้วย

 

The need-to-know

 

  • แมวสงบ
  • เข้ากับคนง่ายและต้องการการดูแล
  • แมวเงียบ
  • รูปร่างใหญ่และตันกว่าปกติ
  • ต้องดูแล/ตัดขนทุกวัน
  • สายพันธุ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  • ต้องการพื้นที่นอกบ้านบ้าง
  • แมวที่เหมาะกับเลี้ยงในครอบครัว
บุคลิกภาพ

แร็กดอลขึ้นชื่อว่าเป็นแมวที่รักสงบมากที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับแมวบ้านพันธุ์อื่น ๆ แมวพันธุ์นี้มีความสุขกับตัวเอง ไม่เรียกร้องและอดทนต่อหลายสถานการณ์ ด้วยนิสัยอ่อนโยนและสงบเย็น ทำให้แมวแร็กดอลเป็นสัตว์เลี้ยงที่ซื่อสัตย์และรักผู้เลี้ยง มีคำกล่าวโบราณที่ว่า แมวพันธุ์นี้อดทนต่อความเจ็บปวดเก่ง แต่ความจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น  ลักษณะที่ดูผ่อนคลายนั้นจริง ๆ มาจากความไว้ใจ ไม่ใช่ว่าไร้ความรู้สึก

 

ประวัติและต้นกำเนิด

ถิ่นกำเนิด: อเมริกา

 

ลูกแมวแร็กดอลตัวแรกเกิดที่รัฐแคลิฟอร์เนียช่วงทศวรรษที่ 1960 คาดว่าน่าจะเกิดจากการผสมพันธุ์กันของแมวสาวเปอร์เซียสีขาว (เพศเมีย) กับแมวพันธุ์เบอร์แมนหรือแมวตัวผู้ที่คล้ายพันธุ์เบอร์แมน  แมวพันธุ์นี้มักยอมให้อุ้มแต่โดยดีและจะทิ้งตัวตามสบายเหมือนตุ๊กตาจึงได้ชื่อว่า “แร็กดอล” หรือ “ตุ๊กตาผ้า” บางคนเชื่อว่าลักษณะนี้เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจและเป็นไปตามสัญชาติญาณเดียวกับเวลาที่แม่แมวคาบลูก แต่ลักษณะเช่นนี้ไม่น่าจะถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้

โภชนาการและการให้อาหาร

แมวทุกตัวมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว  เมื่อพูดถึงอาหารแต่ละตัวจะมีความชอบ ไม่ชอบ และความต้องการแตกต่างกัน แมวเป็นสัตว์กินเนื้อและต้องได้รับสารอาหารต่าง ๆ ที่ครบถ้วน 41 ชนิดจากอาหารที่กินเข้าไป สัดส่วนของสารอาหารเหล่านี้แตกต่างกันไปตามอายุ วิถีชีวิต และสุขภาพโดยรวม จึงไม่ต้องแปลกใจไปหากลูกแมวที่กำลังโตและพลังล้นเหลือจะต้องการสารอาหารที่ต่างจากแมวสูงวัยที่ไม่ชอบขยับตัวไปไหน อีกข้อหนึ่งที่ต้องระลึกให้ขึ้นใจคือ ควรให้อาหารในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อรักษา “รูปร่างให้สมส่วน” ตามคำแนะนำของสายพันธุ์ และจัดอาหารสูตรเปียกหรือสูตรแห้งให้ตามที่แมวชอบ

 

ข้อมูลอื่นๆ

สุขภาพและปัญหาที่มักพบ


แร็กดอลมีโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมคือ โรคกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวผิดปกติ (hypertrophic cardiomyopathy) อาจทำให้เกิดอาการหัวใจวายในลูกแมวได้ ดังนั้นควรตรวจสอบกับฟาร์มก่อนที่จะเลี้ยง 

 

แมวพันธุ์นี้กับเด็ก


แม้ว่าแมวพันธ์ุนี้จะเข้ากันได้ดีกับเด็ก แต่ก็อย่าลืมว่าแมวแต่ละตัวก็มีลักษณะนิสัยต่างกันขึ้นอยู่กับการสอนและประสบการณ์ชีวิต ถ้าต้องการรับเลี้ยง ควรปรึกษากับองค์กรที่ขอรับเลี้ยงเพื่อเรียนรู้ลักษณะนิสัยของแมว 

แมวเปอร์เซีย (Persian cat)

ทำความรู้จักแมวเปอร์เซีย (Persian Cat)
แมวเปอร์เซีย หรือ Persian Cat คือหนึ่งในสายพันธุ์น้องแมวขนสวยยาวเงางาม และจัดเป็นหนึ่งในสิบสายพันธุ์แมว ที่ได้รับความนิยมนำมาเลี้ยงมากที่สุดบนโลกสายพันธุ์หนึ่ง ด้วยขนที่สวย บวกกับความน่ารัก ความจงรักภักดีต่อเจ้าของ รักความสงบ ไม่ส่งเสียงดังเอะอะ และความฉลาดแสนรู้ของแมวเปอร์เซีย ทำให้น้องแมวสายพันธุ์นี้มัดใจให้หลายคนตกหลุมรักกันแบบถอนตัวไม่ขึ้น มาทำความรู้จักน้องแมวเปอร์เซีย กันให้มากอีกนิด แล้วคุณจะหลงรักน้องแมวเปอร์เซียยิ่งขึ้นไปอีก

ลักษณะเด่นของแมวเปอร์เซียอยู่ที่ตาที่โต กะโหลกกลม หน้าแบน แก้มแน่น และใบหูขนาดเล็กที่มีปลายมน ขนาดหัวที่ใหญ่ของแมวเปอร์เซียช่วยพยุงคอที่สั้น หลายคนอาจเคยสังเกตเห็นว่าแมวเปอร์เซียมีหน้าตาหลายแบบ เช่น หน้าแบนสุดๆ แบบ Peke-face หรือเป็นลุคเก่าที่จะเห็นว่าใบหน้าแมวเปอร์เซียมีความกลมขึ้นมาอีกนิดแบบ Doll-face ซึ่งอายุเฉลี่ยของแมวสายพันธุ์นี้อยู่ที่ 10 – 15 ปี มีความยาวลำตัว 14 – 18 นิ้ว (ไม่รวมความยาวหาง) น้ำหนักประมาณ 4 – 6 กิโลกรัม รูปร่างของแมวเปอร์เซียจะเป็นสัดส่วนของกล้ามเนื้อเป็นส่วนใหญ่ ขาสั้น หนา และมีอุ้งเท้าขนาดใหญ่ หางแมวเปอร์เซียจัดว่าไม่ยาวมากเมื่อเทียบกับสัดส่วนลำตัวของแมว

 

The need-to-know

  • แมวสงบ
  • เป็นมิตรแต่รักอิสระ
  • แมวเงียบ
  • รูปร่างใหญ่และตันกว่าปกติ
  • ต้องดูแล/ตัดขนทุกวัน
  • สายพันธุ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  • ต้องการพื้นที่นอกบ้านบ้าง
  • อาจต้องทำความคุ้นเคยก่อนนำมาคลุกคลีกับลูก
บุคลิกภาพ

แมวเปอร์เซียจะค่อนข้างเงียบและไม่ซุกซน ชอบที่จะนั่งนิ่งๆ อยู่ข้างกายเจ้าของแบบสงบเสงี่ยม มีความเป็นมิตรกับสมาชิกในครอบครัวรวมทั้งเด็ก แต่จะไม่ชอบถ้าเด็กหรือสัตว์เลี้ยงตัวอื่นมากวน หรือมายุ่งวุ่นวาย และมักเป็นแมวที่ได้รับความสนใจจากสมาชิกในครอบครัว แต่มีเพียงไม่กี่คนหรอกนะที่น้องแมวเปอร์เซียจะรู้สึกไว้ใจ

สถานที่หรือบริเวณที่มีเสียงดังเอะอะไม่ใช่ที่ที่จะถูกใจแมวเปอร์เซียเท่าไหร่นัก น้องแมวเปอร์เซียค่อนข้างที่จะรักสงบ ชอบที่จะมีชีวิตเรียบง่าย เช่น ได้กินอาหารเวลาเดิมสม่ำเสมอ มีเวลาเล่นของเล่น และอยู่ในครอบครัวที่อบอวลไปด้วยความรัก ถ้าคุณกำลังมองหาแมวที่จะไม่ปีนผ้าม่านราคาแพงของคุณเล่นๆ ไม่กระโดดไปลุยเคาน์เตอร์ในครัว หรือไม่กระโจนไปยืนบนหลังตู้เย็นล่ะก็ มองมาที่แมวเปอร์เซียได้เลย นอกจากจะอยู่นิ่งๆ ไม่ก่อกวนให้เจ้าของวุ่นวายใจแล้ว แมวเปอร์เซียก็ยังไม่ร้องขอความรักจากใคร แค่ได้อยู่ใกล้ๆ ก็สบายใจสไตล์แมวเปอร์เซียแล้ว

ลักษณะของขน และสีของแมวเปอร์เซีย
ขนของแมวเปอร์เซียจะมีความยาวและหนาฟู มีความมันวาว เป็นหนึ่งในสายพันธุ์แมวขนสวยเงางาม เส้นขนของแมวเปอร์เซียจะยาวตลอดทั้งลำตัว และมีขนฟูนุ่มน่าจับอยู่รอบๆ คอ มีขนเส้นเล็กแซมระหว่างขาหน้า ใบหู นิ้วเท้า และที่หาง

สีสันของแมวเปอร์เซียที่เรามักจะพบเห็นบ่อยจะเป็นสีขาว สีครีม สีแดง สีน้ำเงิน สีดำและสีช็อกโกแลต ส่วนสีตาก็จะเป็นสีเดียวกับสีขน นอกจากสีที่มีหลากหลายแล้ว ลวดลายก็มีหลายแบบเช่นกัน โดยอาจจะพบขนสีพื้นและแซมด้วยสีเงิน ทอง ดำ ทำให้เกิดเป็นเฉดสีและลายต่างๆ เช่น สีควันบุหรี่ ลายแบบแท็บบี้ สองสี เป็นต้น

 

ประวัติและต้นกำเนิด

ถิ่นกำเนิด: อิหร่าน

 

ชื่ออื่น ๆ: แมว Iranian

 

ประวัติความเป็นมาของแมวเปอร์เซีย (Persian Cat)
แต่เดิมนั้นแมวเปอร์เซีย มีถิ่นกำเนิดมาจากแถบเปอร์เซีย ซึ่งอยู่ภายในประเทศตุรกีและอิหร่านในปัจจุบัน ซึ่งสอดคล้องกับชื่อของสายพันธุ์นี้ที่มักจะเรียกกันว่า แมว Iranian (หรืออีกชื่อนึงก็คือแมว Shirazi) โดยมีบันทึกว่าบรรพบุรุษของแมวสายพันธุ์นี้ ถูกนำเข้าจากอิหร่านมาถึงยังประเทศอิตาลี ในช่วงปี ค.ศ. 1620 และได้รับความนิยมจากผู้เลี้ยงแมวในแถบยุโรปเป็นอย่างมาก จึงได้มีการนำไปขยายพันธุ์ในสหรัฐฯ ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1900 และได้รับการตั้งชื่อว่า Persian Cat ตามถิ่นกำเนิดของแมวสายพันธุ์นี้นั่นเอง

 

ขนาดของแมวเปอร์เซีย
แมวเปอร์เซียนั้นจะมีขนาดกลางถึงใหญ่ โดยเพศผู้จะมีน้ำหนักอยู่ราว 4 - 6 กิโลกรัม ส่วนเพศเมียจะมีน้ำหนักอยู่ราว 3-5 กิโลกรัม มีความยาวลำตัว 14 – 18 นิ้ว (ไม่รวมความยาวหาง) สำหรับรูปลักษณ์ภายนอกของแมวเปอร์เซีย นั้นจัดเป็นแมวที่มีโครงร่างกายที่แข็งแรง หัวกลม แก้มกลม มีดวงตาโตสวยงาม นอกจากนี้เราจะสามารถสังเกตได้ว่าแมวเปอร์เซียจะมีจุดเด่นตรง “จมูกหัก” ซึ่งเห็นได้ชัดเจน ถ้ามองจากด้านข้าง ก็จะเห็นเป็นขีดอยู่ระหว่างดวงตาทั้งสองข้าง หน้าตาของแมวเปอร์เซียที่พบได้มีหลายแบบ เช่น หน้าแบนสุดๆ แบบ Peke-face หรือเป็นลุคเก่าที่จะเห็นว่าใบหน้าแมวเปอร์เซียมีความกลมขึ้นมาอีกนิดแบบ Doll-face

โภชนาการและการให้อาหาร

สารอาหารที่จำเป็นสำหรับแมวเปอร์เซียควรมีสัดส่วนที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย และกิจกรรมในแต่ละวันของแมวสายพันธุ์นี้ โดยสารอาหารจำเป็นที่ควรมีในอาหารของแมวเปอร์เซีย ได้แก่

1. โปรตีน : เพื่อสร้างเนื้อเยื่อที่เป็นโครงสร้างหลักของร่างกาย ในอาหารควรมีกรดอะมิโน ซึ่งเป็นหน่วยย่อยของโปรตีนอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรดอะมิโนชนิดที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้

2. คาร์โบไฮเดรต : เพื่อเป็นแหล่งพลังงานในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเซลล์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เซลล์ประสาท เซลล์หัวใจ และเม็ดเลือดแดง อาหารที่มีคุณภาพดีควรมีการคำนวณปริมาณคาร์โบไฮเดรตอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการเกิดโรคอ้วนในแมวเปอร์เซีย

3. ไขมัน : ช่วยให้พลังงานแก่ร่างกาย โดยให้พลังงานได้สูงกว่าโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต นอกจากนี้ไขมันยังช่วยในการดูดซึมวิตามิน รวมทั้งยังช่วยเสริมการทำงานของระบบห่อหุ้มร่างกาย เช่น โอเมก้า 3 และ 6

4. วิตามิน และแร่ธาตุอื่นๆ : แม้ร่างกายจะต้องการวิตามินและแร่ธาตุในปริมาณน้อย แต่หากได้รับไม่เพียงพอหรือได้รับมากเกินไป ก็อาจส่งผลต่อการทำงานของร่างกาย และทำให้ร่างกายเกิดความผิดปกติได้ ตัวอย่างวิตามินและแร่ธาตุที่ร่างกายสุนัขต้องการ ได้แก่ วิตามินบี แคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นต้น

อีกหนึ่งหัวใจของการดูแลแมวเปอร์เซีย ก็คือการเลือกให้อาหารแมว ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์และการใช้ชีวิตของน้องแมวเปอร์เซีย โดยเลือกอาหารสูตรบำรุงขนที่เหมาะสำหรับน้องแมวขนยาวเป็นพิเศษอย่าง เพียวริน่า วัน สูตรสำหรับแมวเลี้ยงในบ้าน (PURINA ONE Indoor Advantage) ที่อุดมด้วยไฟเบอร์จากธรรมชาติสูงถึง 5% ช่วยลดการก่อตัวของก้อนขนที่น้องแมวเปอร์เซีย สะสมอยู่ในลำไส้จากการเลียทำความสะอาดร่างกาย ด้วยการผลักก้อนขนออกมาผ่านการขับถ่าย มีโอเมก้า 3 และ 6 ช่วยบำรุงผิวหนังและขนให้มีสุขภาพดี เงางาม และดวงตาสดใส และมีแคลอรีต่ำเพราะทำมาจากเนื้อไก่งวง ที่มีโปรตีนสูงถึง 38% ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เหมาะมากๆ สำหรับแมวเลี้ยงในบ้านที่มีกิจกรรมน้อยอย่างน้องแมวเปอร์เซีย

ความต้องการพิเศษเฉพาะสายพันธุ์ของแมวเปอร์เซีย
นอกจากการแปรงขนแมวแล้วแมวสายพันธุ์นี้มักจะมีปัญหาเรื่องท่อน้ำตาอุดตันได้ง่าย ทำให้เกิดเป็นคราบน้ำตาแห้งกรังติดอยู่รอบดวงตาเป็นระยะ วิธีแก้ไขเบื้องต้นคือใช้ผ้าชุบน้ำอุ่น คอยเช็ดรอบดวงตาของน้องแมวอย่างสม่ำเสมอ และควรพาแมวเปอร์เซีย ไปตรวจร่างกาย ถ่ายพยาธิและทำวัคซีนเป็นประจำทุกปี เพื่อสุขภาพที่ดีของแมวเปอร์เซียที่น่ารักของคุณ

อีกหนึ่งเรื่องที่เจ้าของแมวเปอร์เซียต้องให้ความใส่ใจนั่นก็คือกระบะทราย เพราะทรายแมวมักติดไปกับขน หรือเท้าของแมวเปอร์เซียได้ ซึ่งถ้าเจ้าของแมวไม่หมั่นทำความสะอาด และปล่อยให้กระบะทรายมีกลิ่น แมวก็อาจจะหยุดใช้กระบะทราย ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหากระเพาะปัสสาวะอักเสบตามมาได้

ข้อมูลอื่นๆ

สุขภาพและปัญหาที่มักพบ


แมวเปอร์เซียมีแนวโน้มที่จะป่วยด้วยโรคทั่วไปได้เช่นเดียวกับแมวสายพันธุ์อื่นๆ แต่ก็มีโรคที่พบบ่อยในแมวเปอร์เซียเช่นกัน ได้แก่

- ภาวะหายใจลำบาก หรือหายใจมีเสียงดัง อันเนื่องมาจากช่องจมูกตีบแคบ


- ฟันสบไม่ปกติ
- น้ำตาไหลเยอะกว่าปกติ
- ปัญหาโรคตา เช่น เชอร์รี่อาย และ- หนังตาม้วน
- ป่วยเนื่องจากอากาศร้อน
- ซีสต์ที่ไต
- มีแนวโน้มจะเป็น กลาก เชื้อรา ได้ง่าย
- มีปัญหาผิวหนัง ผิวลอกเป็นสะเก็ด คัน ผิวแดง ขนร่วง

 

แมวพันธุ์นี้กับเด็ก


แมวเปอร์เซียอาจจะไม่ใช่แมวที่เป็นตัวเลือกแรกในการเลี้ยงร่วมกับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก และครอบครัวที่มีสุนัข แต่ก็ไม่ใช่ว่าน้องแมวจะเข้ากับเด็กๆ หรือสุนัขไม่ได้ ถ้าเด็กๆ และสุนัขไม่ไปวิ่งไล่กวดแมวเปอร์เซีย แมวเปอร์เซียแสนรักสงบก็พร้อมที่จะเป็นเพื่อนกับทุกคนแน่นอน

วิถีชีวิตสไตล์แมวเปอร์เซีย
ลักษณะนิสัยของแมวเปอร์เซียส่วนใหญ่จะเข้ากับคนได้ง่าย ขี้อ้อน และมีไหวพริบดี โดยอาจจะมีนิสัยอื่นๆ แตกต่างกันไป ตามเพศของน้องแมวเป็นหลัก โดยแมวเปอร์เซียเพศผู้มักจะเป็นแมวที่มีบุคลิกนิ่งๆ มีโลกส่วนตัวสูง แต่ถ้าเป็นช่วงฤดูผสมพันธุ์ น้องแมวอาจจะมีพฤติกรรมหนีเที่ยว ออกจากบ้าน หรือร้องเสียงดังเป็นปกติ

ส่วนแมวเปอร์เซียเพศเมีย ส่วนมากจะมีนิสัยที่เรียบร้อย ขี้อ้อน ขี้ประจบมากกว่าตัวผู้ แต่สำหรับบางตัว ก็จะมีโลกส่วนตัวสูงไม่แตกต่างกันเท่าไหร่นัก และเนื่องจากเป็นน้องแมวสายพันธุ์ที่มีนิสัยเรียบร้อยและรักสันโดษ

ผู้เลี้ยงที่เหมาะกับแมวเปอร์เซีย
ด้วยลักษณะนิสัยของแมวเปอร์เซียที่รักสงบ แต่ก็อยู่ง่าย ทำให้น้องแมวเปอร์เซียสามารถอยู่อาศัยตัวเดียวได้ง่าย ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่เยอะในการเลี้ยง จึงเหมาะสำหรับผู้เลี้ยงที่มีพื้นที่จำกัด หรือเลี้ยงภายในห้องแบบระบบปิด ที่ไม่ได้ปล่อยน้องแมวออกไปนอกบ้าน สามารถเลี้ยงในบ้าน หรือคอนโดก็ได้ แค่มีมุมให้แมวได้นอนเล่น หรือชมวิวบ้างก็เพียงพอ แต่ที่สำคัญก็คือต้องเป็นคนที่มีเวลาดูแลใส่ใจขนของแมวเปอร์เซียเป็นประจำสม่ำเสมอเท่านั้นเอง

แม้ว่าแมวเปอร์เซียจะเป็นแมวที่ชอบความเงียบ มาสไตล์สายชิลล์ ไม่ชอบส่งเสียงดัง แต่ก็มีมุมน่ารักที่อยากจะให้เจ้าของเข้ามาพูดคุย ลูบหัวลูบตัว หรือมาแปรงขนให้ ถ้าคุณกำลังมองหาเพื่อนรักที่จะมอบความภักดีให้กับคุณแบบหมดหัวใจ แมวเปอร์เซียนี่แหละคือคำตอบที่ใช่สำหรับครอบครัวของคุณ