Machine Name
dog
ไซบีเรียน ฮัสกี (Siberian Husky)

สุนัขไซบีเรียน ฮัสกี (Siberian Husky) เป็นหนึ่งในสายพันธุ์สุนัขที่มีความสง่างาม ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกและบุคลิกที่ดูนิ่ง แต่ก็กระฉับกระเฉง และมีพลังที่ล้นเหลือ และด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ บ่อยครั้งจึงเลี่ยงไม่ได้ที่สุนัขพันธุ์นี้จะมีความผิดปกติในเรื่องข้อต่อ เช่น ข้อสะโพกเคลื่อน และปัญหาโรคผิวหนังตามมา บทความนี้จะพามาทำความรู้จักกับสุนัขพันธุ์ไซบีเรียน ฮัสกีในทุกแง่มุม ทั้งภาพรวมของสายพันธุ์ ปัญหาและเคล็ดลับในการดูแลสุขภาพ และกิจกรรมที่เหมาะสม

 

The need-to-know

 

  • สุนัขเหมาะสำหรับเจ้าของที่มีประสบการณ์เลี้ยงสุนัข
  • ต้องฝึกมากกว่าปกติ
  • ชอบเดินออกกำลังกายอย่างหนัก
  • ชอบเดินวันละ 1-2 ชั่วโมง
  • สุนัขขนาดกลาง
  • น้ำลายไหลให้น้อยที่สุด
  • ต้องดูแล/ตัดขนสุนัขทุกวัน
  • สายพันธุ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  • สุนัขช่างพูดและช่างเห่า
  • สุนัขเฝ้าบ้าน ต้องเห่าและเตือน
  • อาจต้องฝึกให้อยู่ร่วมกับสัตว์เลี้ยงตัวอื่น
  • อาจต้องฝึกให้อยู่ร่วมกับเด็ก
อายุเฉลี่ย:
12–15 ปี
น้ำหนัก:
16–27 กิโลกรัม
ส่วนสูง:
51–60 เซนติเมตร
สีขน:
Black and white, grey, white, black, black and tan, silver, sable and white, grey and white, red and white
ขนาดตัว:
ขนาดกลาง
ชื่อกลุ่มคนเลี้ยงสุนัข:
สำหรับทำงาน
บุคลิกภาพ

ภายใต้ภาพลักษณ์ที่ดูสง่างามและกระฉับกระเฉงนั้น สุนัขไซบีเรียน ฮัสกี ถือเป็นสุนัขที่ขับเคลื่อนด้วยสัญชาตญาณอีกสายพันธุ์หนึ่ง สุนัขไซบีเรียน ฮัสกี มีความฉลาด และสง่างาม แต่สาเหตุที่หลายคนมองว่าสุนัขพันธุ์นี้ฝึกได้ยาก ไม่ใช่เรื่องของไหวพริบแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะสุนัขสายพันธุ์นี้ไม่ชอบทำตามคำสั่งเสียมากกว่า ซึ่งในทางกลับกันสุนัขไซบีเรียน ฮัสกี ชอบที่จะทำกิจกรรมที่พวกเขาสนใจเท่านั้น เพราะฉะนั้นหากคุณต้องการฝึกสุนัขไซบีเรียน ฮัสกี คุณต้องมั่นใจว่าตัวคุณคือจ่าฝูง และต้องอาศัยความสม่ำเสมอและวินัยในการฝึก เพียงเท่านี้คุณก็สามารถฝึกให้สุนัขไซบีเรียน ฮัสกี ทำตามคำสั่งได้สำเร็จ

 

ตามที่กล่าวไปข้างต้นว่าสุนัขไซบีเรียน ฮัสกี นั้นมักทำตามสัญชาตญาณของตนเอง การวิ่งไล่เหยื่อ และการหลบหนีออกจากคอกก็รวมเป็นหนึ่งในนั้น ดังนั้นหากคุณต้องการทำคอกให้สุนัขไซบีเรียน ฮัสกี คุณต้องมั่นใจก่อนว่าคอกนั้นแข็งแรงพอ โดยทั่วไปแนะนำให้ใช้รั้วไม้แข็งสูงประมาณ 6 – 8 ฟุต ฝังลงไปใต้ดินอย่างน้อย 2 ฟุต เพื่อป้องกันการขุดโพรงหนี และเมื่อสุนัขไซบีเรียน ฮัสกี ของคุณหนีออกไปได้ รับรองว่าความเสียหายที่ตามมาไม่ใช่เรื่องสนุกอย่างแน่นอน

ประวัติและต้นกำเนิด

ประเทศต้นกำเนิด: รัสเซีย

 

สุนัขไซบีเรียน ฮัสกี ถือเป็นหนึ่งในสายพันธุ์สุนัขที่เก่าแก่ของโลกซึ่งถูกเลี้ยงดูและเพาะพันธุ์โดยชาวชุกชี (Chukchi) ชนเผ่าหนึ่งในไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย ที่ปกติจะใช้สุนัขสายพันธุ์นี้ในการลากเลื่อนบนพื้นน้ำแข็ง นอกเหนือจากความสามารถในการลากเลื่อนแล้ว สุนัขไซบีเรียน ฮัสกี ยังมีบทบาทเสมือนสมาชิกครอบครัวด้วยเช่นกัน เนื่องจากชาวชุกชีเลี้ยงพวกเขาไว้เป็นเพื่อน ให้นอนร่วมกับเด็ก ๆ ในบ้านเพื่ออาศัยความอบอุ่นจากขนหนาเหล่านั้น

 

ต่อมาสุนัขไซบีเรียน ฮัสกีได้รับการขึ้นทะเบียนโดย American Kennel Club (AKC) ในปี ค.ศ. 1930 และมีการก่อตั้ง American Husky Club ขึ้นในปี ค.ศ. 1938 อีกทั้งยังถูกขึ้นทะเบียนโดย Canadian Kennel Club ในปี ค.ศ. 1939 โดยในปัจจุบันสุนัขไซบีเรียน ฮัสกี ถือเป็นสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับที่ 12 ในประเทศสหรัฐอเมริกา

 

มาตรฐานสายพันธุ์ของไซบีเรียน ฮัสกี
สุนัขไซบีเรียน ฮัสกี ถูกจัดเป็นสุนัขพันธุ์ใหญ่ ในประเภทสุนัขเพื่อการใช้งาน (Working dog) มีความสูงเฉลี่ยประมาณ 20 - 23 นิ้ว มีน้ำหนักอยู่ที่ 15 – 30 กิโลกรัม และมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 12 – 15 ปี โดยพื้นฐานขนมักเป็นสีขาวผสมกับมาร์คกิ้งเฉดสีต่าง ๆ เช่น ดำ เทา เงิน หรือแทน แต่สิ่งที่โดดเด่นอีกอย่างของสุนัขไซบีเรียน ฮัสกี คือสีตา เราอาจพบว่าสุนัขมีตาสีน้ำตาล ฟ้า หรือข้างละสี

โภชนาการและการให้อาหาร

ด้วยความที่สุนัขไซบีเรียน ฮัสกี เป็นสุนัขขนาดใหญ่ชื่นชอบการออกกำลังกาย แต่ในขณะเดียวกันก็มีปัญหาเรื่องข้อต่อ และโรคภูมิแพ้ ดังนั้นเราจึงควรเลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่สอดคล้องกับความต้องการของสุนัข ดังต่อไปนี้

 

  • พลังงาน เช่น ควรเลือกอาหารที่มีปริมาณพลังงานสอดคล้องกับความต้องการของสุนัขในแต่ละช่วงวัย นอกจากนี้ยังควรพิจารณาเลือกวัตถุดิบที่มาจากแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงเพื่อหลีกเลี่ยงการแพ้ และควรลดการให้อาหารที่มีไขมันสูงมาก เพื่อลดการสะสมของไขมันในร่างกาย ที่อาจเป็นสาเหตุให้สุนัขน้ำหนักเกินเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาเรื่องกระดูกและข้อต่อตามมา
     
  • วิตามิน แร่ธาตุ และสารเสริมอื่น ๆ ถือเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการช่วยเสริมสร้างให้สุนัขมีโครงสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อที่แข็งแรง และช่วยลดการอักเสบบริเวณข้อต่อ จากกลูโคซามีน และสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย
     
  • กรดไขมัน เช่น โอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ที่มีส่วนช่วยในการลดการอักเสบ เช่น การอักเสบของข้อ อีกทั้งยังสำคัญต่อการบำรุงขนและผิวหนังอีกด้วย จึงควรเลือกอาหารที่ประกอบด้วยกรดไขมันเหล่านี้ในปริมาณที่เพียงพอต่อสุนัข ในแต่ละช่วงวัย

 

ดังนั้นผู้เลี้ยงจึงควรเลือกอาหารที่มีคุณค่าโภชนาการที่ครบถ้วนอย่าง PRO PLAN® LARGE ADULT สูตรสุนัขพันธุ์ใหญ่ ที่มีทั้งสูตรสำหรับลูกสุนัข PRO PLAN® LARGE PUPPY ซึ่งมีสารสกัดจากโคลอสตรัมช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของลูกสุนัข และเสริมความแข็งแรงของกระดูกและข้อต่อด้วยกลูโคซามีนจากธรรมชาติ และสูตรสำหรับสุนัขโต PRO PLAN® LARGE Adult ซึ่งมีกลูโคซามีนจากธรรมชาติช่วยเสริมความแข็งแรงของกระดูกและข้อต่อ พร้อมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย นอกจากนี้สุนัขพันธุ์ไซบีเรียน ฮัสกียังเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ได้ง่าย ดังนั้นการให้อาหารสุนัข PRO PLAN® ALL SIZE Adult Sensitive Skin & Stomach อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี เนื่องจากประกอบด้วยแหล่งโปรตีนจากปลาแซลมอนและทูน่า ที่จะช่วยลดโอกาสการแพ้โปรตีนจากเนื้อไก่ และลดอาการอักเสบของผิวหนังได้

ข้อมูลอื่นๆ

สุขภาพและปัญหาที่มักพบ

 

โดยภาพรวมแล้วสุนัขไซบีเรียน ฮัสกี นั้นเป็นสุนัขที่แข็งแรงและสุขภาพดี ดังนั้นโรคที่มักเกิดขึ้นก็มักเป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในสุนัขขนาดกลางไปจนถึงใหญ่ เช่น ปัญหาข้อสะโพกเคลื่อน โรคภูมิแพ้ โรคกระเพาะอาหารขยายและบิดตัว รวมไปถึงโรคตา โดยโรคที่มักพบในสุนัขไซบีเรียน ฮัสกี มีดังต่อไปนี้ 

 

  • ปัญหาเกี่ยวกับข้อต่อ เช่น ข้อสะโพกเสื่อม (Hip dysplasia) ที่เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในสุนัขพันธุ์ใหญ่ ซึ่งถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ โดยสุนัขมักแสดงอาการเจ็บขาหลังเวลาเดินหรือลุกยืน ปัญหานี้สามารถป้องกันได้ด้วยการออกกำลังกายที่เหมาะสมเพื่อลดการสะสมของไขมันในร่างกาย ร่วมกับการควบคุมอาหาร โดยให้อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนและสมดุล เช่น PRO PLAN® LARGE ADULT และ PRO PLAN® LARGE PUPPY ซึ่งมีสารอาหารที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของกระดูกและข้อต่อในสุนัขด้วยกลูโคซามีนจากธรรมชาติ และช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกายด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และยังมีสารสกัดจากโคลอสตรัมที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันในสูตรลูกสุนัข
     
  • โรคภูมิแพ้ (Allergies) จริงอยู่ที่สุนัขไซบีเรียน ฮัสกี เป็นสุนัขที่มีขนหนา แต่บ่อยครั้งเราก็พบว่าสุนัขมีผิวหนังที่บอบบางและแพ้ง่ายจากหลากหลายสาเหตุ ตั้งแต่อาหารไปจนถึงเกสรดอกไม้ ดังนั้นเจ้าของจึงต้องหมั่นสังเกตหากพบว่าสุนัขมีอาการเลียเท้าหรือถูบริเวณหน้า ไปจนถึงมีปื้นแดงบริเวณดังกล่าว อาจแปลได้ว่าสุนัขกำลังแพ้อะไรบางอย่าง อีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยป้องกันได้ คือการเลือกให้อาหารสุนัขที่เหมาะสำหรับสุนัขที่แพ้ง่าย เช่น PRO PLAN® ALL SIZE Adult Sensitive Skin &; Stomach ที่ผลิตมาจากโปรตีนคุณภาพสูงอย่างเนื้อปลาแซลมอน และทูน่า ซึ่งอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง และทำงานร่วมกับโอเมก้า 6 ช่วยบำรุงผิวหนังให้แข็งแรงและขนสวยเงางาม นอกจากนี้ยังสามารถใช้เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจาการแพ้โปรตีนจากไก่ได้อีกด้วย
     
  • โรคกระเพาะอาหารขยายและบิดตัว (Gastric dilatation volvulus: GDV) โรคนี้ถือเป็นภาวะฉุกเฉินในสุนัขที่อันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาทันที โรคนี้มักเกิดขึ้นในสุนัขพันธุ์กลางถึงใหญ่ โดยเฉพาะหลังจากที่สุนัขกินอาหารหรือน้ำเข้าไปในปริมาณมากแล้วออกกำลังกายอย่างหนักทันที กระเพาะอาหารที่ขยายตัวมากเกิดการบิดตัวจนสุนัขเสียชีวิตจากภาวะช็อค โรคนี้จะสังเกตได้จากช่วงหลังกินอาหารแล้วสุนัขมีท้องขยายใหญ่ น้ำลายไหลมาก กระสับกระส่าย ทำท่าทางคล้ายจะอาเจียนแต่ไม่มีอะไรออกมา สุนัขมีอาการเกร็งท้องอย่างมาก ไม่ยอมให้เจ้าของจับบริเวณท้อง หากมีอาการเหล่านี้ให้รีบพาสุนัขไปที่โรงพยาบาลสัตว์หรือคลินิกโดยด่วนที่สุด
     
  • โรคเกี่ยวกับตา เช่น โรคต้อกระจก (Cataracts) ปัญหากระจกตาเสื่อม (Corneal dystrophy) และปัญหาจอตาเสื่อม (Progressive Retinal Atrophy: PRA) เป็นต้น

 

สุนัขพันธุ์นี้กับเด็ก

 

สุนัขไซบีเรียน ฮัสกี เป็นสุนัขที่มีความเป็นมิตรกับผู้คนสูง พวกเขารักการพบปะกับผู้คน ด้วยความที่แต่เดิมสุนัขไซบีเรียน ฮัสกี เป็นสุนัขลากเลื่อนที่ต้องทำงานเป็นทีมร่วมกับสุนัขตัวอื่น ๆ จึงทำให้พวกเขาสามารถเข้ากับสุนัขอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดีเช่นกัน

 

โชคร้ายที่สัญชาตญาณการเป็นนักล่าของสุนัขไซบีเรียน ฮัสกีนั้นสูงมาก ดังนั้นการเลี้ยงสัตว์ที่มีขนาดเล็ก เช่น แมว นก หนู หรือสัตว์ที่เป็นผู้ถูกล่าตามธรรมชาติ เช่น กวาง หรือปศุสัตว์ การเคลื่อนไหวของสัตว์เหล่านี้จะกระตุ้นให้สุนัขไซบีเรียน ฮัสกี วิ่งไล่ ซึ่งคุณคงไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น

 

ผู้เลี้ยงที่เหมาะกับสายพันธุ์ไซบีเรียน ฮัสกี

  • สุนัขไซบีเรียน ฮัสกี ไม่เหมาะกับผู้เลี้ยงสุนัขมือใหม่ หรือคนที่อยากเลี้ยงสุนัขเพียงเพราะรูปลักษณ์ภายนอก โดยไม่ศึกษาข้อมูลให้ดีก่อน เพราะความยากอันดับต้น ๆ คือเรื่องการควบคุมสุนัข และปัญหาที่ตามมาเมื่อสุนัขไม่ได้รับการออกกำลังกายที่เพียงพอ
  • สุนัขไซบีเรียน ฮัสกี เหมาะสำหรับผู้ที่รักการทำกิจกรรมกลางแจ้ง การออกกำลังกายอย่างหนัก หรือชอบการวิ่งในระยะทางไกล ๆ
  • สุนัขไซบีเรียน ฮัสกี เหมาะกับการเลี้ยงในสถานที่ที่มีรั้วรอบขอบชิด และแข็งแรงเพียงพอที่สุนัขจะไม่สามารถหลบหนีออกไปได้
  • คุณควรมีเวลาจัดการเรื่องขนของสุนัขไซบีเรียน ฮัสกี ทั้งการแปรงขนและกำจัดขนที่ติดอยู่ตามมุมต่าง ๆ ของบ้าน
  • คุณสามารถเลี้ยงสุนัขไซบีเรียน ฮัสกี ร่วมกับสุนัขสายพันธุ์อื่น ๆ ได้ แต่ไม่แนะนำให้เลี้ยงร่วมกับสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น ๆ
ชิสุห์ (Shih Tzu)

มารู้จักและดูแลสุขภาพชิสุห์ (Shih Tzu) กันเถอะ
ทำความรู้จักกับชิสุห์ (Shih Tzu)
ชิสุห์ (Shih Tzu) จัดเป็นสุนัขในกลุ่ม Toy Group ถึงแม้ว่าจะมีหุ่นที่ไม่ค่อยจะเหมือนสุนัขสายพันธุ์เล็กทั่วไปสักเท่าไหร่ แต่ชิสุห์กลับครองใจผู้เลี้ยงหลากหลายตั้งแต่ระดับจักรพรรดิจีนโบราณไปจนถึงเหล่าดาราฮอลลีวู้ด ด้วยขนที่ฟูดูนุ่มน่ากอด หน้าตาจิ้มลิ้ม มีความเป็นมิตร ชอบอยู่กับเจ้าของ ช่างเอาอกเอาใจ เราจึงตกหลุมรักน้องได้โดยไม่ยาก นอกจากลักษณะที่ใครเห็นเป็นต้องรัก สุนัขพันธุ์นี้ยังมีประวัติที่เก่าแก่และมีความน่าสนใจไม่แพ้สายพันธุ์ไหน มิน่าล่ะทำไมใครๆ ก็เรียกได้ว่านอกจากจะน่ารักแล้วยังมีแต่เรื่องราวน่าสนใจอีกด้วย

 

The need-to-know

 

  • สุนัขเหมาะสำหรับเจ้าของที่ไม่เคยเลี้ยงสุนัขมาก่อน
  • ต้องการการฝึกขั้นพื้นฐาน
  • ชอบเดินเบา ๆ
  • ชอบเดินวันละครึ่งชั่วโมง
  • สุนัขขนาดเล็ก
  • น้ำลายไหลให้น้อยที่สุด
  • ต้องดูแล/ตัดขนสุนัขทุกวัน
  • สายพันธุ์แพ้ง่าย
  • สุนัขช่างพูดและช่างเห่า
  • สุนัขเฝ้าบ้าน ต้องเห่าและเตือน
  • เข้ากันกับสัตว์อื่นได้ดี
  • สุนัขครอบครัวที่ดี
อายุเฉลี่ย:
10–16 ปี
น้ำหนัก:
4–7.5 กิโลกรัม
ส่วนสูง:
20–28 เซนติเมตร
สีขน:
Black and white, brindle, brindle and white, gold and white, gold brindle, gold brindle and white, gold with black mask, grey and white, solid black, solid gold
ขนาดตัว:
ขนาดเล็ก
ชื่อกลุ่มคนเลี้ยงสุนัข:
ใช้งานได้หลากหลาย
บุคลิกภาพ

สุนัขสายพันธุ์ชิสุห์จัดเป็นสุนัขในกลุ่ม Toy Group ที่มีโครงสร้างร่างกายที่แข็งแรง นอกจากตัวเล็กน่ารักแล้ว ยังเป็นสุนัขที่ไม่ค่อยเห่า ไม่ค่อยส่งเสียงดัง สามารถปรับตัวให้เข้ากับสมาชิกในครอบครัว รวมถึงสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆได้ดี และมักไม่ค่อยมีปัญหาเมื่อต้องพบเจอกับคนแปลกหน้า

 

ชิสุห์จัดเป็นสุนัขที่ฉลาด สามารถเรียนรู้และฝึกได้ค่อนข้างดี แต่ต้องอาศัยความสม่ำเสมอและความชัดเจนในการฝึก โดยเฉพาะการฝึกที่มีขนมเป็นรางวัล ชิสุห์ขึ้นชื่อเรื่องการฝึกขับถ่ายที่ทำได้ค่อนข้างยาก แต่ฝึกยากไม่ได้แปลว่าฝึกไม่ได้ เพียงแค่อาจจะต้องอาศัยเวลาและความตั้งใจมากเป็นพิเศษเท่านั้นเอง

 

ขนาดของสุนัขพันธุ์ชิสุห์
สุนัขสายพันธุ์ชิสุห์จัดเป็นสุนัขขนาดเล็ก โดยมีความสูงประมาณ 8-11 นิ้ว และมีน้ำหนักอยู่ที่ 19.8-35.2 กิโลกรัม และมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 10-16 ปี มีสีหลากหลายตั้งแต่ขาว ดำ น้ำตาล ทอง และสีบลู

บุคลิกของชิสุห์


บุคลิกของสุนัขชิสุห์โดยรวมแล้วถือว่าเป็นสุนัขที่ค่อนข้างเรียบร้อย แต่ก็มีมุมดื้ออยู่บ้าง ชิสุห์จะมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างจากสุนัขสายพันธุ์เล็กทั่วไปที่มักจะตื่นตัวและไฮเปอร์ เพราะชิสุห์เป็นสุนัขที่ค่อนข้างสงบนิ่งและไม่แอคทีฟมากนัก เพราะฉะนั้นชิสุห์จึงไม่ต้องการการออกกำลังกายและการใช้พื้นที่เท่ากับสุนัขพันธุ์เล็กอื่นๆ

 

เนื่องจากชิสุห์ถูกพัฒนาสายพันธุ์เพื่ออยู่ในบ้านของชนชั้นสูง ชิสุห์จึงมีความผูกพันธ์กับเจ้าของค่อนข้างสูง ชอบที่จะทำกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ กระชับความสัมพันธ์กับเจ้าของ เช่น การนอนบนโซฟาหรือบนตักเจ้าของขณะดูทีวี หรือเดินตามเจ้าของไปในจุดต่างๆของบ้าน เรียกได้ว่าชิสุห์เป็นสายชิลล์และสายแฟมิลี่อย่างแท้จริง

ประวัติและต้นกำเนิด

ประเทศต้นกำเนิด: Tibet

 

สุนัขสายพันธุ์ชิสุห์จัดเป็นสุนัขในกลุ่ม Toy Group ที่มีโครงสร้างร่างกายที่แข็งแรง นอกจากตัวเล็กน่ารักแล้ว ยังเป็นสุนัขที่ไม่ค่อยเห่า ไม่ค่อยส่งเสียงดัง สามารถปรับตัวให้เข้ากับสมาชิกในครอบครัว รวมถึงสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆได้ดี และมักไม่ค่อยมีปัญหาเมื่อต้องพบเจอกับคนแปลกหน้า

 

ชิสุห์จัดเป็นสุนัขที่ฉลาด สามารถเรียนรู้และฝึกได้ค่อนข้างดี แต่ต้องอาศัยความสม่ำเสมอและความชัดเจนในการฝึก โดยเฉพาะการฝึกที่มีขนมเป็นรางวัล ชิสุห์ขึ้นชื่อเรื่องการฝึกขับถ่ายที่ทำได้ค่อนข้างยาก แต่ฝึกยากไม่ได้แปลว่าฝึกไม่ได้ เพียงแค่อาจจะต้องอาศัยเวลาและความตั้งใจมากเป็นพิเศษเท่านั้นเอง

 

ขนาดของสุนัขพันธุ์ชิสุห์
สุนัขสายพันธุ์ชิสุห์จัดเป็นสุนัขขนาดเล็ก โดยมีความสูงประมาณ 8-11 นิ้ว และมีน้ำหนักอยู่ที่ 19.8-35.2 กิโลกรัม และมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 10-16 ปี มีสีหลากหลายตั้งแต่ขาว ดำ น้ำตาล ทอง และสีบลู

บุคลิกของชิสุห์


บุคลิกของสุนัขชิสุห์โดยรวมแล้วถือว่าเป็นสุนัขที่ค่อนข้างเรียบร้อย แต่ก็มีมุมดื้ออยู่บ้าง ชิสุห์จะมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างจากสุนัขสายพันธุ์เล็กทั่วไปที่มักจะตื่นตัวและไฮเปอร์ เพราะชิสุห์เป็นสุนัขที่ค่อนข้างสงบนิ่งและไม่แอคทีฟมากนัก เพราะฉะนั้นชิสุห์จึงไม่ต้องการการออกกำลังกายและการใช้พื้นที่เท่ากับสุนัขพันธุ์เล็กอื่นๆ

 

เนื่องจากชิสุห์ถูกพัฒนาสายพันธุ์เพื่ออยู่ในบ้านของชนชั้นสูง ชิสุห์จึงมีความผูกพันธ์กับเจ้าของค่อนข้างสูง ชอบที่จะทำกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ กระชับความสัมพันธ์กับเจ้าของ เช่น การนอนบนโซฟาหรือบนตักเจ้าของขณะดูทีวี หรือเดินตามเจ้าของไปในจุดต่างๆของบ้าน เรียกได้ว่าชิสุห์เป็นสายชิลล์และสายแฟมิลี่อย่างแท้จริง

โภชนาการและการให้อาหาร

สารอาหารที่จำเป็นสำหรับร่างกายของชิสุห์ควรมีสัดส่วนที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย และกิจกรรมในแต่ละวันของสุนัขสายพันธุ์นี้ โดยประกอบไปด้วย

 

  1. โปรตีน : เพื่อสร้างเนื้อเยื่อที่เป็นโครงสร้างหลักของร่างกาย ในอาหารควรมีกรดอะมิโน ซึ่งเป็นหน่วยย่อยของโปรตีนอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรดอะมิโนชนิดที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้
     
  2. คาร์โบไฮเดรต : เพื่อเป็นแหล่งพลังงานในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเซลล์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เซลล์ประสาท เซลล์หัวใจ และเม็ดเลือดแดง อาหารที่มีคุณภาพดีควรมีการคำนวณปริมาณคาร์โบไฮเดรตอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการเกิดโรคอ้วนในสุนัข
     
  3. ไขมัน : ช่วยให้พลังงานแก่ร่างกาย โดยให้พลังงานได้สูงกว่าโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต นอกจากนี้ไขมันยังช่วยในการดูดซึมวิตามิน อี ดี เอ และเค รวมถึงยังดูแลให้ความอบอุ่น และมีส่วนช่วยในระบบห่อหุ้มร่างกาย เช่น โอเมก้า 3 และ 6 ที่ช่วยบำรุงผิวหนังและขนของสุนัขสายพันธุ์นี้
     
  4. วิตามิน และแร่ธาตุ : แม้ร่างกายจะต้องการวิตามินและแร่ธาตุในปริมาณน้อย แต่หากได้รับไม่เพียงพอหรือได้รับมากเกินไป ก็อาจส่งผลต่อการทำงานของร่างกาย และทำให้ร่างกายเกิดความผิดปกติได้ ตัวอย่างวิตามินและแร่ธาตุที่ร่างกายสุนัขต้องการ ได้แก่ วิตามินบี แคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นต้น

 

สุนัขชิสุห์เป็นสุนัขพันธุ์เล็กที่ไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมมากนัก แต่มีความแอคทีฟสูง จึงควรเลือกอาหารที่ผลิตจากวัตถุดิบคุณภาพดี มีสารอาหารครบถ้วนตามหลักโภชนาการเพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดี เน้นคัดสรรวัตถุดิบหลักที่มาจากธรรมชาติปราศจากสี และวัตถุปรุงแต่งกลิ่นรสสังเคราะห์ โดยมีการคำนวณสารอาหารให้มีปริมาณสอดคล้องกับความต้องการของร่างกายของสุนัข อย่างเช่น SUPERCOAT (ซุปเปอร์โค้ท) สูตรสุนัขโตพันธุ์เล็ก ที่เสริมการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกายสุนัขให้เหมาะกับกิจกรรมในแต่ละวัน และมีความสมดุลกับความต้องการด้านโภชนาการของสุนัขสายพันธุ์เล็กโดยเฉพาะ มีแร่ธาตุจำเป็นที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด อร่อยกับรสชาติที่ได้จากวัตถุดิบแท้ๆ จากธรรมชาติ เพิ่มพลังงานด้วยวิตามินบี เพื่อการนำพลังงานไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เม็ดอาหารมีขนาดเล็กเหมาะสมช่วยเรื่องระบบการย่อยอาหารและการขัดฟัน ที่สำคัญคือมีโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ที่ช่วยบำรุงผิวหนังและขนให้แข็งแรง เงางามเป็นส่วนประกอบที่จะช่วยให้ขนของชิสุห์ให้สวยเงางามมีสุขภาพดี

ความต้องการพิเศษเฉพาะสายพันธุ์ของชิสุห์


ชิสุห์ที่มีขนสีขาวอาจต้องมีการดูแลเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันคราบเปื้อนที่มักจะเกิดขึ้นบริเวณรอบดวงตาหรือรอบใบหน้า ดังนั้นเวลาพบว่าสุนัขมีน้ำตาไหลหรือหลังมื้ออาหารต้องรีบเช็ดทำความสะอาด และหมั่นเล็มขนบริเวณรอบดวงตาและใบหน้าอย่างสม่ำเสมอ บริเวณใบหน้าที่ย่นควรมีการเช็ดทำความสะอาดทุกวันหรือหลังมื้ออาหารเพื่อป้องกันการหมักหมมของเชื้อโรค รวมถึงการหมั่นตัดแต่งขนให้เข้าทรง โดยเฉพาะขนบริเวณรอบใบหน้า ใบหู รอบดวงตาและบริเวณใต้ฝ่าเท้า

 

ถึงแม้ว่าบางคนจะบอกว่าชิสุห์มักไม่ทำให้ผู้เลี้ยงเกิดอาการแพ้มากเท่าสายพันธุ์อื่น ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการผลัดขนที่น้อยหากขนชั้นนอกยาวจะทำให้ขนชั้นในเมื่อหมดอายุขัยแล้วอาจไม่สามารถหลุดร่วงออกมาได้ การแปรงขนจะช่วยให้ขนชั้นในสามารถออกมาได้ แต่ในน้องชิสุห์ที่ตัดขนสั้นอาจพบว่ามีขนร่วงมากกว่าขนยาว นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อขนชั้นในหมดอายุแล้วจะสามารถร่วงออกจากตัวสุนัขได้เลย ไม่ได้โดนกักไว้ด้านในเหมือนกับสุนัขที่ไว้ขนยาว

ข้อมูลอื่นๆ

สุขภาพและปัญหาที่มักพบ

 

สุนัขชิสุห์ถือเป็นสุนัขสายพันธุ์เล็กที่มีโครงสร้างร่างกายค่อนข้างหนาและแข็งแรง ทำให้ไม่ค่อยมีปัญหาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ เหมือนสุนัขพันธุ์เล็กอื่นๆ แต่ถึงอย่างนั้นด้วยลักษณะทางสรีระบางอย่างของชิสุห์จึงทำให้ก็มีโอกาสเกิดปัญหาสุขภาพบางอย่างประจำสายพันธุ์ ได้แก่ - ภูมิแพ้ : ชิสุห์มีโอกาสในการแพ้และเกิดอาการแดงและคันตามผิวหนังได้ สังเกตได้จากการเลียเท้า คันหรือเกามากกว่าปกติ ผิวหนังเป็นผื่นแดง - เป็นลม : เนื่องจากชิสุห์จัดเป็นสุนัขพันธุ์หน้าสั้น ทำให้ประสิทธิภาพในการหายใจอาจไม่มีเท่ากับสุนัขที่มีโครงหน้าปกติ หากมีการออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมมากเกินไปอาจหายใจไม่ทันและเป็นลมได้ - โรคลมแดด: ด้วยสรีระที่ค่อนข้างหนา ขนยาว บวกกับทางเดินหายใจที่ไม่ค่อยดีนัก ทำให้ชิสุห์มีประสิทธิภาพในการระบายความร้อนออกจากร่างกายได้ต่ำกว่าสุนัขสายพันธุ์อื่น - ปัญหาตา: หนึ่งในโรคที่สำคัญของชิสุห์คือ ตาแห้ง และเนื่องจากลักษณะตาที่ค่อนข้างโปนทำให้มีความเสี่ยงในการได้รับบาดเจ็บบริเวณกระจกตาได้สูง ยังไม่รวมการที่ขนยาวทิ่มตา ปัญหาท่อน้ำตาอุดตัน และรอยคราบน้ำตาบริเวณรอบดวงตา อีกทั้งยังมีปัญหาต้อหินและต้อกระจกเมื่อสุนัขอายุมากขึ้น - ปัญหาเรื่องข้อต่อ : สุนัขชิสุห์มีโอกาสเกิดอาการบาดเจ็บที่บริเวณข้อสะโพกและกระดูกสันหลัง โดยเฉพาะในสุนัขที่แก่และอ้วน - ปัญหาเหงือกและฟัน : ปัญหาเรื่องเหงือกและฟันโดยเฉพาะหินปูนมักเกิดขึ้นเมื่อเวลานานไป จึงต้องหมั่นดูแลสุขภาพช่องปากของชิสุห์อย่างสม่ำเสมอ หมั่นพาสุนัขไปตรวจฟันกับสัตวแพทย์เป็น อาจฝึกให้แปรงฟัน หรือเลือกอาหารที่มีส่วนช่วยในการขัดฟัน

 

สุนัขพันธุ์นี้กับเด็ก

 

สุนัขชิสุห์เป็นสุนัขที่ค่อนข้างเรียบร้อยและสงบนิ่งโดยเฉพาะเมื่อตอนโตเต็มวัยแล้ว จึงเหมาะกับครอบครัวที่มีไลฟ์สไตล์แบบสบายๆ ไม่รีบร้อน หรือไม่ได้มีกิจกรรมมากมายนัก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเลี้ยงไว้คลายเหงาสำหรับผู้สูงอายุหรือครอบครัวหลังเกษียณ เพราะชิสุห์ชอบอยู่กับคน ไม่ค่อยส่งเสียงดัง และต้องการการออกกำลังกายเพียงเล็กน้อย ถึงอย่างนั้นชิสุห์ก็สามารถอยู่กับเด็กได้อย่างไม่มีปัญหา นอนกอดก็ได้ เล่นด้วยก็ดี แต่ต้องไม่มากเกินไป ที่สำคัญชิสุห์แทบจะไม่มีพฤติกรรมก้าวร้าวกับสมาชิกในครอบครัวเลย การเลี้ยงร่วมกับสุนัขสายพันธุ์อื่น หรือแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น สุนัขชิสุห์ก็ทำได้อย่างดีไม่มีปัญหา เนื่องจากวิถีชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์จึงไม่ค่อยเกิดการกระทบกระทั่งกับสัตว์เลี้ยงตัวอื่นเท่าใดนัก แต่ในทางกลับกันสุนัขชิสุห์อาจจะถูกรบกวนโดยสัตว์เลี้ยงตัวอื่นที่มีความแอคทีฟสูงได้ เช่นสุนัขสายพันธุ์ที่ขี้เล่นและไฮเปอร์ อย่างบีเกิ้ล หรือ แจ็ค รัสเซล เป็นต้น ผู้เลี้ยงที่เหมาะกับชิสุห์ เนื่องจากสุนัขชิสุห์ถูกเลี้ยงและพัฒนาสายพันธุ์เพื่อการใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเป็นส่วนใหญ่มาเป็นเวลาหลายร้อยปีจึงไม่ได้มีความต้องการในการใช้พื้นที่มากเท่าสุนัขสายพันธุ์อื่น เพราะฉะนั้นจึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นที่น้อย คนที่อยู่อะพาร์ตเม้นต์หรือคอนโด (ที่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์) อีกทั้งโครงสร้างร่างกายและโครงหน้าที่สั้นการออกกำลังกายจึงทำได้อย่างจำกัด ต้องการเพียงพื้นที่ในการออกกำลังกายเล็กน้อยเท่านั้น สุนัขชิสุห์ค่อนข้างมีความเป็นมิตรสูงจึงสามารถเลี้ยงรวมกับสุนัขหรือสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นได้เป็นอย่างดี ชิสุห์สามารถเข้ากับสมาชิกในครอบครัวได้ทุกวัย และเป็นสุนัขที่ได้รับการยอมรับว่าเหมาะกับผู้สูงอายุเป็นอย่างมาก เนื่องจากสุนัขชิสุห์ชอบที่จะใช้เวลาอยู่กับเจ้าของ ทำกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ร่วมกัน เช่นนอนดูทีวีหรือแปรงขน และด้วยขนยาวสองชั้นบวกกับใบหน้าที่ย่น สุนัขชิสุห์จึงต้องการการดูแลจากเจ้าของอย่างสม่ำเสมอ ผู้ที่สนใจสุนัขสายพันธุ์นี้จึงควรมีเวลาให้ชิสุห์อยู่พอสมควร

 

รู้หรือไม่

 

  • ในสมัยราชวงศ์ถังของจีน เคยส่งสุนัขชิสุห์หนึ่งคู่เพื่อเป็นเป็นของบรรณาการแก่พันธมิตร เรื่องราวของสุนัขคู่นี้ได้ได้ถูกบันทึกไว้เมื่อ ค.ศ. 990-994
  • การที่สุนัขชิสุห์มีชื่อและรูปร่างคล้ายสิงโตตัวน้อย เนื่องมาจากความเชื่อของศาสนาพุทธว่าสิงโตเป็นหนึ่งในสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกปักรักษาสถานที่สำคัญทางศาสนา
  • เริ่มแรกในยุโรป สุนัขชิสุห์ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสุนัขพันธุ์ลาซา แอปโซ แต่ภายหลังสมาคมสุนัขแห่งอังกฤษก็ได้ทราบว่าแท้จริงแล้วป็นพันธุ์ชิสุห์ ในปี ค.ศ. 1935
  • ในบางครั้งสุนัขชิสุห์ถูกเรียกว่า “สุนัขหน้าดอกเบญจมาศ” (chrysanthemum-faced dog) เนื่องมาจากใบหน้าที่กลมแบนและมีขนขึ้นบริเวณรอบๆ
สุนัขเชทแลนด์ ชีพด็อก

สุนัขสายพันธุ์เล็กถึงปานกลางที่หน้าตาน่ารัก ท่วงท่าสง่างามอย่างสุนัขเชทแลนด์ ชีพด็อก มีลักษณะที่เด่นสะดุดตาจากแผงขนรอบคอและอก พร้อมกับขนบริเวณขาและหางที่ยาวมากเป็นพิเศษ สุนัขพันธุ์นี้มีขนหลายสี หลากหลายลวดลาย และยังมีแบบผสมด้วย สามารถศึกษารายละเอียดได้จากมาตรฐานสายพันธุ์ เพศผู้ที่โตเต็มวัยสูงประมาณ 37 ซม. ส่วนเพศเมียสูง 35.5 ซม. น้ำหนักเมื่อโตเต็มวัยอยู่ระหว่าง 6 - 12 กก.

 

The need-to-know

 

  • สุนัขเหมาะสำหรับเจ้าของที่้เคยเลี้ยงสุนัขมาบ้าง
  • ต้องการการฝึกขั้นพื้นฐาน
  • ชอบเดินเป็นประจำ
  • ชอบเดินวันละ 1-2 ชั่วโมง
  • สุนัขขนาดเล็ก
  • น้ำลายไหลได้บ้าง
  • ต้องดูแล/ตัดขนสุนัขทุกวัน
  • สายพันธุ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  • สุนัขเงียบ
  • สุนัขเฝ้าบ้าน ต้องเห่าและเตือน
  • อาจต้องฝึกให้อยู่ร่วมกับสัตว์เลี้ยงตัวอื่น
  • อาจต้องฝึกให้อยู่ร่วมกับเด็ก
อายุเฉลี่ย:
12-13 ปี
น้ำหนัก:
6-12 กิโลกรัม
ส่วนสูง:
35.5 - 37 เซนติเมตร
สีขน:
ปกติมักจะมีสีน้ำตาลแดงปนขาว แต่ก็มีสีดำขาว หรือสามสีอย่างลายหินอ่อน ดำและน้ำตาลเข้มด้วยเหมือน
ขนาดตัว:
ขนาดเล็ก
ชื่อกลุ่มคนเลี้ยงสุนัข:
เหมาะกับชนบท
บุคลิกภาพ

สุนัขเชทแลนด์ ชีพด็อก อาจจะดูสง่างามและนิ่มนวล แต่แท้จริงแล้วเป็นสายพันธุ์แข็งแรง เลี้ยงไว้สำหรับใช้งาน และยังมีพลังงานล้นเหลือ เป็นสุนัขที่ทุ่มเทให้กับเจ้าของอย่างสุดชีวิต และมักจะทำตัวห่างเหินกับคนที่ไม่รู้จัก สุนัขเชทแลนด์ ชีพด็อก มักตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา พร้อมส่งเสียงบอกคุณทุกเรื่อง หากเจ้าของไม่สามารถคุมสถานการณ์ได้ ก็อาจจะสร้างปัญหาให้กับเพื่อนบ้านด้วยเช่นกัน

ประวัติและต้นกำเนิด

ประเทศต้นกำเนิด: หมู่เกาะเชทแลนด์

 

สุนัขพันธุ์นี้ได้ชื่อมาจากเกาะเชทแลนด์ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของสก็อตแลนด์ ซึ่งเป็นสถานที่กำเนิดและพัฒนาจนเกิดเป็นสายพันธุ์นี้ เดิมทีสุนัขเชทแลนด์ ชีพด็อก หรือ “เชทตี้” ถูกใช้งานเป็นสุนัขต้อนแกะและบางครั้งต้องทนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก เชื่อกันว่าเชทตี้เกิดจากการผสมกันของสุนัขหลายพันธุ์ เช่น สปิตซ์และสก็อตติช ชีพด๊อก (Scottish Sheepdog) ต่อมาชายชาวเชทแลนด์ ชื่อ เจมส์ ล๊อกกี้ ได้นำราฟคอลลี่ (คอลลี่ขนยาว) พันธุ์เล็กมาผสมจนเกิดเป็นสุนัขเชทแลนด์ ชีพด็อกสายพันธุ์ปัจจุบัน ส่งผลให้คุณล๊อกกี้ได้รับตำแหน่งเลขานุการคนแรกของสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัขเชทแลนด์ ชีพด็อกในปี 1908

โภชนาการและการให้อาหาร

สุนัขเชทแลนด์ ชีพด็อก เป็นสุนัขสายพันธุ์เล็กมีอัตราการเผาผลาญพลังงานสูง ย่อยอาหารได้รวดเร็ว แต่ด้วยกระเพาะอาหารขนาดเล็ก ควรอาหารให้ปริมาณน้อย แต่แบ่งย่อยเป็นหลายมื้อ อาหารของสุนัขพันธุ์เล็กออกแบบมาเป็นพิเศษให้มีสารอาหารสำคัญในปริมาณที่เหมาะสม และมีขนาดเม็ดที่เล็กพอดีกับขนาดปาก ซึ่งช่วยให้เคี้ยวง่าย ส่งผลดีต่อระบบย่อยอาหาร

การออกกำลังกาย

สุนัขเชทแลนด์ ชีพด็อกต้องออกกำลังกายอย่างน้อยวันละชั่วโมง แต่ด้วยพลังงานที่เหลือล้น นอกจากการเดินเล่นกับเจ้าของแล้ว สุนัขพันธุ์นี้ก็ยังชอบการฝึกฝน และมักทำผลงานได้ดีในเกมกีฬาต่างๆ สำหรับสุนัข เช่น กีฬาที่เน้นความความว่องไว กีฬาเน้นฟังคำสั่ง และวิ่งแข่งคาบลูกบอล (flyball)

ข้อมูลอื่นๆ

สุขภาพและปัญหาที่มักพบ

 

สุนัขพันธุ์นี้ได้ชื่อมาจากเกาะเชทแลนด์ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของสก็อตแลนด์ ซึ่งเป็นสถานที่กำเนิดและพัฒนาจนเกิดเป็นสายพันธุ์นี้ เดิมทีสุนัขเชทแลนด์ ชีพด็อก หรือ “เชทตี้” ถูกใช้งานเป็นสุนัขต้อนแกะและบางครั้งต้องทนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก เชื่อกันว่าเชทตี้เกิดจากการผสมกันของสุนัขหลายพันธุ์ เช่น สปิตซ์และสก็อตติช ชีพด๊อก (Scottish Sheepdog) ต่อมาชายชาวเชทแลนด์ ชื่อ เจมส์ ล๊อกกี้ ได้นำราฟคอลลี่ (คอลลี่ขนยาว) พันธุ์เล็กมาผสมจนเกิดเป็นสุนัขเชทแลนด์ ชีพด็อกสายพันธุ์ปัจจุบัน ส่งผลให้คุณล๊อกกี้ได้รับตำแหน่งเลขานุการคนแรกของสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัขเชทแลนด์ ชีพด็อกในปี 1908

 

พื้นที่ในการเลี้ยงสุนัข

 

สุนัขเชทแลนด์ ชีพด็อกไม่ได้ต้องการพื้นที่มากมาย จะเป็นบ้านหรือพาหนะก็อยู่ได้ โดยต้องไม่ใช้พื้นที่เยอะ แต่ถ้าจะให้ดีบ้านที่เลี้ยงควรอยู่ห่างจากเพื่อนบ้านหรือความวุ่นวายจากการจราจรบนท้องถนน เพราะสุนัขเชทแลนด์ ชีพด็อกมักจริงจังกับบทบาทสุนัขเฝ้าระวังเป็นอย่างมาก และเป็นที่รู้ดีว่าชอบส่งเสียงดัง ดังนั้นสุนัขเชทแลนด์ ชีพด็อกจึงไม่เหมาะกับการเลี้ยงในห้องพักหรือตึกแถว

 

การฝึกสุนัข

 

สุนัขเชทแลนด์ ชีพด็อกจัดเป็นสุนัขตัวเล็กที่เรียนรู้เร็ว มีความปราดเปรื่องสูง และพร้อมสนุกไปกับเจ้าของในการฝึกและการเล่นกีฬาต่าง ๆ สุนัขเชทแลนด์ ชีพด็อกสามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้เท่าที่ขนาดตัวจะเอื้ออำนวย และการฝึกให้เงียบ รวมถึงการสั่งให้นั่งและรอถือว่ามีประโยชน์อย่างมาก การบอกว่า “ไปกันเลย” อาจจะไม่ใช่ปัญหา แต่ “หยุดและเงียบ” อาจจะทำให้เกิดเป็นปัญหาสำหรับกับสุนัขเชทแลนด์ ชีพด็อกได้ ด้วยความที่สุนัขเชทแลนด์ ชีพด็อกเป็นสายพันธุ์รีทรีฟเวอร์ การฝึกจึงจำเป็นต้องเป็นไปในเชิงบวก อย่างการฝึกให้หาของรางวัลที่ซ่อนอยู่ถ้าเจอก็เอาไปได้เลย จะทำให้สุนัขมีความสุขมาก

 

การอยู่ร่วมกับเด็กของสุนัข

 

แม้สุนัขส่วนใหญ่จะเป็นมิตรกับเด็ก แต่ทั้งสุนัขสุนัขเชทแลนด์ ชีพด็อกและเด็กจะต้องได้รับการฝึกให้เคารพซึ่งกันและกัน และอยู่ร่วมกันได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตามไม่ควรปล่อยให้เด็กเล็กและสุนัขอยู่ด้วยกันตามลำพัง ควรเฝ้าระวังทุกครั้งที่เด็กเล่นกับสุนัข

 

รู้หรือไม่

 

  • แม้จะมีสุนัขหลายตัวได้เข้าไปอาศัยในทำเนียบขาว แต่มีแค่ประธานาธิบดี แคลวิน คูลิดจ์ เท่านั้นที่เลี้ยงและสร้างที่อาบน้ำสำหรับสุนัขเชทแลนด์ ชีพด็อกของเขาโดยเฉพาะ เพื่อคอยดูแลรักษาให้ขนสะอาดและหอมสดชื่นอยู่เสมอ
  • ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีศิลปินเพลงป็อปชื่อดังอย่างไมลีย์ ไซรัส ที่เลี้ยงสุนัขพันธุ์เชทแลนด์ชื่อ "อีมู" เธอยังนำรูปสุนัขไปสักบนแขนอีกด้วย
สุนัขลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์

สุนัขลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์เป็นสุนัขพันธุ์ใหญ่ มีรูปร่าง โครงสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ส่วนหัวใหญ่ มีดวงตาที่ดูอ่อนโยน เฉลียวฉลาด มีหางที่เป็นเอกลักษณคล้ายหางตัวนาก ขนที่สั้นและแน่น มีได้หลายสี ตั้งแต่ดำล้วน น้ำตาลทอง และสีน้ำตาล เมื่อโตเต็มวัยจะสูง 56 - 57 ซม.และหนักประมาณ 30 กก. ส่วนเพศเมียสูงประมาณ 55 - 56 ซม. และหนักราวๆ 28 กก.

 

The need-to-know

 

  • สุนัขเหมาะสำหรับเจ้าของที่ไม่เคยเลี้ยงสุนัขมาก่อน
  • ต้องการการฝึกขั้นพื้นฐาน
  • ชอบเดินออกกำลังกายอย่างหนัก
  • ชอบเดินมากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน
  • สุนัขขนาดใหญ่
  • น้ำลายไหลได้บ้าง
  • ต้องดูแล/ตัดขนสุนัขวันเว้นวัน
  • สายพันธุ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  • สุนัขช่างพูดและช่างเห่า
  • ไม่ใช่สุนัขเฝ้าบ้าน
  • เข้ากันกับสัตว์อื่นได้ดี
  • สุนัขครอบครัวที่ดี
อายุเฉลี่ย:
10 – 14 ปี
น้ำหนัก:
25 – 36 กิโลกรัม
ส่วนสูง:
55 – 57 เซนติเมตร
สีขน:
ดำ เหลือง และสีช็อกโกแลต
ขนาดตัว:
ขนาดใหญ่
ชื่อกลุ่มคนเลี้ยงสุนัข:
สุนัขคาบเหยื่อ
บุคลิกภาพ

สุนัขลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์เป็นสุนัขยอดนิยมตลอดกาลและเป็นตัวเลือก 1 ใน 3 ของคนที่ตามหาสัตว์เลี้ยงประจำครอบครัว โดยเฉพาะเจ้าของที่ชอบการออกกำลังกาย สุนัขสายพันธุ์นี้เป็นมิตร มีนิสัยดี พร้อมมอบความรักให้กับทุกคน และยังเป็นสัตว์ที่เข้าสังคม ปรับตัวเก่ง สร้างสัมพันธ์กับสัตว์อื่น ๆ และเด็กได้ดี เพราะมีความอดทน เชื่อง แต่ก็ไม่ควรไปล้ำเส้น สุนัขลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ซื่อสัตย์มากและชอบมีส่วนร่วมกับสมาชิกครอบครัวทุกเวลา และจะเห่าบอกเจ้าของเมื่อเจอคนแปลกหน้า แต่ก็พร้อมต้อนรับแขกเป็นอย่างดี

ประวัติและต้นกำเนิด

ประเทศต้นกำเนิด: แคนาดา

 

สุนัขลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ ไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากภูมิภาคลาบราดอร์ แต่เป็นพื้นที่ชายฝั่งเกาะนิวฟันด์แลนด์ ประเทศแคนาดา ในช่วงศตวรรษที่ 17 ชาวประมงได้ฝึกให้สุนัขสายพันธุ์นี้ช่วยเก็บแหจับปลาในน้ำที่หนาวเย็น และในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 มีการนำสุนัขพันธุ์นี้เข้าไปยังพูลฮาร์เบอร์ สหราชอาณาจักร เนื่องจากลักษณะที่สะดุดตา ทำให้มีชาวอังกฤษขอซื้อต่อจากชาวประมงเป็นจำนวนมาก สุนัขพันธุ์ลาบราดอร์นี้ได้รับการยอมรับโดยทันทีในฐานะสุนัขคาบเหยื่อ เอิร์ลแห่งมาล์มสบรี (Earl of Malmesbury) ประทับใจสุนัขพันธุ์นี้มาก ซึ่งในขณะนั้นยังใช้ชื่อว่า พันธุ์เซ็นต์จอห์น (Saint John's breed) พอได้เริ่มเพาะพันธุ์จึงได้ตั้งชื่อใหม่ว่า ลาบราดอร์ หรือ “แล็บ”

โภชนาการและการให้อาหาร

สุนัขพันธุ์ใหญ่ มื้ออาหารก็ย่อมใหญ่ตาม สุนัขลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ต้องการสารอาหารที่สมดุล จำเป็นจะต้องมีแร่ธาตุและวิตามินที่ต่างไปจากอาหารของสายพันธุ์เล็ก และมักมีปัญหาเรื่องกระเพาะอาหารและท้องอืด ดังนั้นควรให้กินอาหารในปริมาณน้อย แต่แบ่งย่อยเป็นหลายมื้อ เพื่อลดความเสี่ยงของอาการเหล่านี้

การออกกำลังกาย

สุนัขลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์พร้อมปรับเวลาออกกำลังกายเท่าที่เจ้าของจะเอื้อให้ได้ แต่ก็ต้องการการออกกำลังกายที่เพียงพอ โดยสุนัขที่โตเต็มวัยต้องการเวลาออกกำลังประมาณวันละ 2 - 3 ชั่วโมงเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง สุนัขลาบราดอร์ชอบเดินเล่นระยะทางค่อนข้างไกล โดยอาจสลับกับการวิ่ง และเดินเล่นแบบไม่มีสายจูง ชอบเล่นเก็บของ ว่ายน้ำ แต่เวลาอยู่ใกล้แหล่งน้ำก็ต้องระมัดระวังอย่างมากเพื่อความปลอดภัยของสุนัข สุนัขพันธุ์นี้มีแนวโน้มน้ำหนักตัวมากเกิน ปัญหานี้มักเกิดจากการกินเก่งและขาดการออกกำลังกาย

ข้อมูลอื่นๆ

สุขภาพและปัญหาที่มักพบ

 

สุนัขลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์เสี่ยงเป็นโรคตาที่เกิดจากกรรมพันธุ์เหมือนกับอีกหลายสายพันธุ์ และยังมีปัญหาเรื่องข้อศอก ข้อสะโพกเสื่อม จึงควรตรวจสุขภาพตาและสะโพกของสุนัขก่อนการเพาะพันธุ์

 

พื้นที่ในการเลี้ยงสุนัข

 

สุนัขลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์เป็นสุนัขพันธุ์ใหญ่ บ้าพลังเยอะ และมีหัวใจคันทรี่ จึงต้องการพื้นที่อาศัยที่มีขนาดใหญ่พอตัว ด้วยความบ้าพลังเยอะทำให้สุนัขพันธุ์นี้ชอบสวนกว้าง ๆ และชอบการออกไปเดินเล่นนอกบ้าน

 

การฝึกสุนัข

 

สุนัขลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ ชื่นชอบและสนุกไปกับการฝึก ด้วยความฉลาด เชื่อฟังคำสั่ง และชอบรักการทำกิจกรรมร่วมกับเจ้าของ แต่โดยทั่วไปสุนัขพันธุ์นี้ไม่มีปัญหาที่น่ากังวล แต่ก็ควรต้องควรได้รับการฝึกเพื่อให้สมองได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้สุนัขลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์อาจยังมีนิสัยร่าเริงแบบขั้นสุด และอาจจะชอบทำร้ายลายล้างสิ่งของหากไม่ได้ออกกำลังกายเพียงพอ เพราะเป็นวิธีปลดปล่อยพฤติกรรมเฉพาะสายพันธุ์ ด้วยความเป็นสายพันธุ์รีทรีฟเวอร์ การฝึกจึงจำเป็นต้องเป็นไปในเชิงบวก อย่างการฝึกให้หาของรางวัลที่ซ่อนอยู่ ถ้าเจอก็เอาไปได้เลย จะทำให้สุนัขมีความสุขมาก

 

การอยู่ร่วมกับเด็กของสุนัข

 

แม้สุนัขส่วนใหญ่จะเป็นมิตรกับเด็ก แต่ทั้งสุนัขลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์และเด็กจะต้องได้รับการฝึกให้เคารพซึ่งกันและกัน และอยู่ร่วมกันได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตามไม่ควรปล่อยให้เด็กเล็กและสุนัขอยู่ด้วยกันตามลำพัง ควรเฝ้าระวังทุกครั้งที่เด็กเล่นกับสุนัข

 

รู้หรือไม่

 

  • แต่เดิมชาวประมงเลี้ยงสุนัขลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ไว้คอยช่วยงานคาบตาข่ายดักปลา
  • สุนัขลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ได้กลายมาเป็นสุนัขสำหรับทำงานหลากหลายแบบ ได้แก่ ค้นหายาเสพติดและวัตถุระเบิด ทำงานค้นหาและช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ และอาจจะเป็นสุนัขนำทางผู้พิการทางสายตาด้วย
  • สุนัขลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์เป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์สุนัขยอดนิยมในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร
  • ในหนึ่งครอก ลูกสุนัขลาบราดอร์ รีทรีฟเวอรสามารถมีได้ทุกสี (ดำ เหลือง และสีช็อกโกแลต)
  • สุนัขตัวแรกที่ทำให้โลกตื่นตัวเรื่องภาวะเบาหวานในสุนัขคือ สุนัขลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ ชื่ออาร์มสตรอง
โกลเด้น รีทริฟเวอร์ (Golden Retriever)

สำหรับคนรักสุนัขทั้งหลายคงไม่มีใครไม่รู้จัก โกลเด้น รีทริฟเวอร์ (Golden Retriever) ด้วยขนาดตัวที่พอเหมาะ สายตาที่อ่อนโยน เป็นมิตร ร่าเริง ขนสีทองอร่าม และหางเป็นแพคล้ายขนนกที่แกว่งไปมาตลอดเวลา บทความนี้จะพามาทำความรู้จักกับสุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทริฟเวอร์ในทุกแง่มุม ทั้งภาพรวมของสายพันธุ์ และเคล็ดลับในการดูแลสุขภาพ และกิจกรรมที่เหมาะสม

 

The need-to-know

 

  • สุนัขเหมาะสำหรับเจ้าของที่ไม่เคยเลี้ยงสุนัขมาก่อน
  • ต้องการการฝึกขั้นพื้นฐาน
  • ชอบเดินออกกำลังกายอย่างหนัก
  • ชอบเดินมากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน
  • สุนัขขนาดใหญ่
  • น้ำลายไหลได้บ้าง
  • ต้องดูแล/ตัดขนสุนัขวันเว้นวัน
  • สายพันธุ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  • สุนัขเงียบ
  • ไม่ใช่สุนัขเฝ้าบ้าน
  • เข้ากันกับสัตว์อื่นได้ดี
  • สุนัขครอบครัวที่ดี
อายุเฉลี่ย:
10–12 ปี
น้ำหนัก:
27–34 กิโลกรัม
ส่วนสูง:
51–61 เซนติเมตร
สีขน:
The Golden Retriever comes in various shades of gold from light to dark
ขนาดตัว:
ขนาดใหญ่
ชื่อกลุ่มคนเลี้ยงสุนัข:
สุนัขคาบเหยื่อ
บุคลิกภาพ

สุนัขโกลเด้น รีทริฟเวอร์ นั้นเป็นสุนัขที่เป็นมิตรและนิสัยดีเป็นอันดับต้นๆ ในบรรดาสุนัขทั้งหมด แต่เดิมสุนัขโกลเด้น รีทริฟเวอร์ ถูกปรับปรุงพันธุ์มาเพื่อเป็นผู้ช่วยของบรรดาผู้ที่ชื่นชอบการล่านกเป็ดน้ำ สุนัขพันธุ์นี้จึงค่อนข้างแอคทีฟ และมีพลังงานสูง มีนิสัยชอบคาบ รวมถึงกัดแทะสิ่งของต่าง ๆ

 

นอกจากจะเป็นผู้ช่วยที่ดีในเกมกีฬาแล้ว สุนัขโกลเด้น รีทริฟเวอร์ ยังทำหน้าที่เป็นสมาชิกครอบครัวได้อย่างดีเยี่ยมสุนัขพันธุ์นี้ชอบเป็นที่รักและจุดสนใจของผู้คน ชอบอ้อนเอาใจเจ้าของ เรียกได้ว่าเป็นสุนัขที่ชอบเข้าสังคมที่สุด จึงแทบไม่มีปัญหาในการอยู่ร่วมกับคนหรือสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นเลย แต่ในทางกลับกันการที่ปล่อยโกลเด้น รีทริฟเวอร์ไว้ตัวเดียว อาจทำให้สุนัขรู้สึกเหงา และอาจนำไปสู่ปัญหาพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การกัดแทะเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น ดังนั้นหากคิดที่จะเลี้ยงสุนัขโกลเด้น รีทริฟเวอร์ คุณต้องมั่นใจว่าคุณจะมีเวลาเล่น หรืออย่างน้อยที่บ้านควรมีคนอยู่เป็นเพื่อนกับเขา

 

ยิ่งไปกว่านั้นสุนัขโกลเด้น รีทริฟเวอร์ ยังเป็นสุนัขที่มีความเป็นเด็กสูง ทั้งนิสัยและพฤติกรรมแบบลูกสุนัขอาจติดตัวเขาไปจนกระทั่งอายุ 2 - 3 ปี (ในบางตัวอาจเป็นตลอดชีวิต) อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่ฉลาดมาก สามารถฝึกฝนและจดจำบทเรียนได้ดี แต่เนื่องจากนิสัยที่เหมือนเด็ก จึงพบว่าหลายครั้งสุนัขพันธุ์ก็นี้ถูกชักจูงและทำให้เสียสมาธิได้ง่าย เพราะฉะนั้นในการฝึกแต่ละครั้งอาจต้องใช้ระยะเวลาแค่สั้น ๆ แต่อาศัยการฝึกบ่อย ๆ และที่สำคัญการฝึกให้ลูกสุนัขเข้าสังคมได้ออกไปเจอผู้คน สิ่งมีชีวิต หรือเสียงที่หลากหลายตั้งแต่เด็ก จะช่วยให้พวกเขาโตมาเป็นสุนัขที่นิ่งมากขึ้น

ประวัติและต้นกำเนิด

ประเทศต้นกำเนิด: อังกฤษ

 

หลายคนเข้าใจว่าสุนัขโกลเด้น รีทริฟเวอร์ สืบเชื้อสายมาจากสุนัขพันธุ์ Russian Sheepdog ที่ถูกซื้อมาจากคณะละครสัตว์ แต่ในความเป็นจริงแล้วสุนัขพันธุ์นี้ถูกพัฒนาสายพันธุ์ในประเทศสก็อตแลนด์ โกลเด้น รีทริฟเวอร์ ถูกเปิดตัวให้เป็นที่รู้จักครั้งแรกที่ The Kennel Club of England ประเทศอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1911 โดยช่วงแรกสายพันธุ์นี้ถูกบันทึกไว้ว่าเป็น “Retriever-Yellow of Golden” และต่อมาถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็น Golden Retriever ในปี ค.ศ. 1920 และถูกนำเข้าไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1925 และถูกบันทึกสายพันธุ์โดย American Kennel Club (AKC) ปัจจุบันสุนัขโกลเด้น รีทริฟเวอร์ กลายเป็นสายพันธุ์สุนัขที่คนนิยมเลี้ยงเป็นอันดับ 2 ของประเทศสหรัฐอเมริกา

 

มาตรฐานสายพันธุ์โกลเด้น รีทริฟเวอร์
สุนัขโกลเด้น รีทริฟเวอร์ จัดเป็นสุนัขพันธุ์ใหญ่ ประเภทสุนัขเพื่อการกีฬา (Sporting dog) โดยมีความสูงประมาณ 21 - 24 นิ้ว และมีน้ำหนักอยู่ที่ 25 – 35 กิโลกรัม และมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 10 – 12 ปี มีเฉดสีตั้งแต่น้ำตาลเข้ม สีเหลืองทอง ไปจนถึงสีเหลืองอ่อน

โภชนาการและการให้อาหาร

ด้วยลักษณะนิสัยที่ชอบทำกิจกรรม โกลเด้น รีทริฟเวอร์ ที่มีความคล่องแคล่วว่องไว มีความต้องการพลังงานสูง แต่ในขณะเดียวกันก็มีปัญหาเรื่องกระดูกและข้อต่อ โรคภูมิแพ้ ดังนั้นเจ้าของสุนัขจึงควรพิจารณาความต้องการอาหารดังต่อไปนี้

 

พลังงาน เช่น ควรเลือกอาหารที่มีปริมาณพลังงานสอดคล้องกับความต้องการของสุนัขในแต่ละช่วงอายุ ควรลดการให้อาหารที่มีไขมันสูงมาก เพื่อลดการสะสมของไขมันในร่างกาย ที่อาจเป็นสาเหตุให้สุนัขน้ำหนักเกินเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาเรื่องกระดูกและข้อต่อตามมา

 

โปรตีน ควรพิจารณาเลือกอาหารที่ประกอบด้วยวัตถุดิบที่เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูง เพื่อหลีกเลี่ยงการแพ้

วิตามิน แร่ธาตุ และสารเสริมอื่น ๆ ถือเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการเสริมสร้างให้สุนัขมีโครงสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อที่แข็งแรง และช่วยลดการอักเสบบริเวณข้อต่อ จากกลูโคซามีน และสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย

 

กรดไขมัน เช่น โอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ที่มีส่วนช่วยในการลดการอักเสบ เช่น การอักเสบของข้อ อีกทั้งยังสำคัญต่อการบำรุงขนและผิวหนังอีกด้วย จึงควรเลือกอาหารที่ประกอบด้วยกรดไขมันเหล่านี้ในปริมาณที่เพียงพอต่อสุนัขโตเต็มวัยในแต่ละช่วงวัย

 

ดังนั้นผู้เลี้ยงสุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทริฟเวอร์ จึงควรเลือกอาหารที่มีคุณค่าโภชนาการที่ครบถ้วน เช่น PRO PLAN® ซึ่งมีทั้งสูตรสำหรับลูกสุนัข PRO PLAN® LARGE Puppy ซึ่งมีสารสกัดจากโคลอสตรัมช่วยเสริมภูมิคุ้กันของลูกสุนัข และเสริมความแข็งแรงของกระดูกและข้อต่อด้วยกลูโคซามีนจากธรรมชาติ และสูตรสำหรับสุนัขโต PRO PLAN® LARGE Adult ซึ่งมีกลูโคซามีนจากธรรมชาติช่วยเสริมความแข็งแรงของกระดูกและข้อต่อ พร้อมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย สุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทริฟเวอร์ยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ได้ง่าย ดังนั้นอาหารสุนัข PRO PLAN® ALL SIZE Adult Sensitive Skin & Stomach ซึ่งประกอบด้วยแหล่งโปรตีนจากปลาแซลมอนและทูน่า เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี ที่จะช่วยลดโอกาสแพ้โปรตีนจากเนื้อไก่ และลดอาการอักเสบของผิวหนังได้

 

สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือผู้เลี้ยงต้องคอยประเมินน้ำหนักตัวของสุนัขอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากโกลเด้น รีทริฟเวอร์ เป็นสุนัขที่เสี่ยงต่อภาวะอ้วน เราจึงต้องควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างเคร่งครัดและเหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องโรคอ้วนที่อาจเป็นสาเหตุของการเกิดโรคอื่น ๆ ทั้งโรคหัวใจ โรคกระดูกและข้อ ตามมาในภายหลัง

ข้อมูลอื่นๆ

สุขภาพและปัญหาที่มักพบ

 

ถึงแม้ว่าสุนัขโกลเด้น รีทริฟเวอร์ จะถูกจัดเป็นสุนัขพันธุ์ใหญ่ ที่มีรูปร่างสมส่วนและโครงสร้างกล้ามเนื้อที่แข็งแรง แต่สุนัขสายพันธุ์นี้ก็มีโรคประจำพันธุ์ จากนิสัยชอบเล่น แอคทีฟ ทำให้ปัญหาที่มักพบในสุนัขสายพันธุ์นี้เป็นเรื่องกระดูกและข้อต่อ เกิดปัญหาผิวหนังได้ง่ายเนื่องจากชอบเล่นน้ำ โรคกระเพาะอาหารขยายและบิดตัวจากการกินแล้วออกกำลังกาย รวมทั้งปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบที่เกิดสืบเนื่องมาจากการสะสมไขมันในร่างกาย เป็นต้น 

 

  • ปัญหาเกี่ยวกับข้อต่อ เช่น ข้อสะโพกเสื่อม (Hip dysplasia) ที่เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในสุนัขพันธุ์ใหญ่ ซึ่งสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ โดยสุนัขมักแสดงอาการเจ็บขาหลังเวลาเดินหรือลุกยืน ปัญหาเหล่านี้สามารถป้องกันได้ด้วยการออกกำลังกายในระดับที่เหมาะสม เพื่อลดการสะสมของไขมันในร่างกาย ร่วมกับการให้อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนและสมดุล เช่น PRO PLAN® LARGE ADULT และ PRO PLAN® LARGE PUPPY ซึ่งมีสารอาหารที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของกระดูกและข้อต่อในสุนัขด้วยกลูโคซามีนจากธรรมชาติ และช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกายด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และยังมีสารสกัดจากโคลอสตรัมที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันในสูตรลูกสุนัข
     
  • โรคภูมิแพ้ (Allergies) สุนัขโกลเด้น รีทริฟเวอร์ มักจะมีผิวหนังที่บอบบางและแพ้ง่ายจากหลากหลายสาเหตุ ตั้งแต่อาหาร สารเคมี ไปจนถึงเกสรดอกไม้ ดังนั้นเจ้าของจึงต้องหมั่นสังเกต หากพบว่าสุนัขมีอาการเลียเท้าหรือบริเวณหน้าบ่อย ไปจนถึงมีปื้นแดงบริเวณดังกล่าว อาจหมายถึงสุนัขกำลังแพ้อะไรบางอย่าง นอกจากนี้อีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยป้องกันได้ คือการเลือกให้อาหารสุนัขที่เหมาะสำหรับสุนัขที่แพ้ง่าย เช่น PRO PLAN® ALL SIZE Adult Sensitive Skin &; Stomach ที่ทำมาจากโปรตีนคุณภาพสูง อย่างเนื้อปลาแซลมอนและทูน่า ซึ่งอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง และทำงานร่วมกับโอมก้า 6 ช่วยบำรุงผิวหนังให้แข็งแรงและขนสวยเงางาม นอกจากนี้ยังสามารถใช้เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจาการแพ้โปรตีนจากไก่ได้อีกด้วย
     
  • โรคกระเพาะอาหารขยายและบิดตัว (Gastric dilatation volvulus: GDV) โรคนี้ถือเป็นภาวะฉุกเฉินในสุนัขที่อาจอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาทันที โรคนี้มักเกิดขึ้นในสุนัขพันธุ์กลางถึงใหญ่ โดยเฉพาะหลังจากที่สุนัขกินอาหารหรือน้ำเข้าไปในปริมาณมากแล้วออกกำลังกายอย่างหนักทันที สาเหตุเกิดจากกระเพาะอาหารขยายตัวมากแล้วเกิดการบิดตัวจนสุนัขเสียชีวิตจากภาวะช็อค โรคนี้สังเกตได้จากช่วงหลังกินอาหารแล้วสุนัขมีท้องขยายใหญ่ น้ำลายไหลมาก กระสับกระส่าย ทำท่าทางคล้ายจะอาเจียนแต่ไม่มีอะไรออกมา สุนัขมีอาการเกร็งท้องอย่างมาก ไม่ยอมให้เจ้าของจับบริเวณท้อง หากมีอาการเหล่านี้ให้รีบพาสุนัขไปที่โรงพยาบาลสัตว์หรือคลินิกโดยด่วนที่สุด
     
  • โรคลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ (Subvalvular aortic stenosis) เกิดจากช่องรอยต่อระหว่างหัวใจห้องล่างซ้ายกับหลอดเลือดแดงใหญ่เอออร์ตาตีบ ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไม่เพียงพอ อาจทำให้สุนัขเป็นลม หรือร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ซึ่งในบางครั้งโรคลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ อาจเป็นผลมาจากไขมันในเลือดสูง ดังนั้นอีกหนึ่งทางเลือกในป้องกันคือการควบคุมไม่ให้สุนัขน้ำหนักเกิน โดยการออกกำลังกายในระดับที่เหมาะสม เพื่อลดการสะสมของไขมันในร่างกาย

 

การดูแลขน

 

เนื่องจากสุนัขโกลเด้น รีทริฟเวอร์ เป็นสุนัขที่มีขนยาวปานกลางอีกทั้งยังชอบเล่นน้ำมาก การดูแลขนจึงเป็นเรื่องที่เจ้าของต้องทำเป็นประจำ เพื่อป้องกันไม่ให้ขนสุนัขพันกัน นอกจากนี้สุนัขโกลเด้น รีทริฟเวอร์ ยังเป็นสุนัขที่มีการผลัดขนอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นก่อนที่เลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้ เบื้องต้นต้องเข้าใจก่อนว่าขนของสุนัขอาจไปติดอยู่ตามตัว เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ หรือแม้แต่ในอาหาร ดังนั้นการแปรงขนเป็นประจำและการดูดฝุ่นทุกวันจึงเป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อลดโอกาสที่ขนกระจายอยู่ในทุก ๆ มุมของบ้าน และเนื่องจากสุนัขโกลเด้น รีทริฟเวอร์ เป็นสุนัขที่มีขนยาวปานกลาง คุณจึงไม่จำเป็นต้องตัดขนพวกเขาก็ได้ อาจแค่เล็มขนบริเวณใต้ฝ่าเท้าเพื่อกันลื่น หรือบริเวณอวัยวะที่ใช้ขับถ่ายเพื่อป้องกันสิ่งสกปรกหมักหมม สุนัขโกลเด้น รีทริฟเวอร์ อาจมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ เนื่องจากความชื้นที่สะสมบริเวณผิวหนังและขน แต่โชคดีที่การอาบน้ำไม่เป็นอุปสรรคสำหรับสุนัขสายพันธุ์นี้ คุณสามารถอาบน้ำให้สุนัขโกลเด้น รีทริฟเวอร์ ได้บ่อยเท่าที่ต้องการ แต่ไม่ควรอาบบ่อยเกินสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพราะอาจทำให้ผิวหนังสุนัขแห้ง จนเกิดอาการคันหรือเกิดรังแคตามมาได้ การดูแลสุขภาพและความสะอาดพื้นฐานอื่น ๆ เช่น สุขภาพช่องปาก การแปรงฟัน การล้างหู และการตัดเล็บ ควรทำเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง สุนัขโกลเด้น รีทริฟเวอร์ เป็นสุนัขที่มีพลังงานและความต้องการออกกำลังกายสูง เจ้าของจึงควรพาสุนัขไปออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เช่น พาออกไปเดินนอกบ้าน เล่นคาบสิ่งของ หรือว่ายน้ำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพราะการปล่อยให้เขาวิ่งเล่นภายในบ้านอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอสำหรับสุนัขสายพันธุ์นี้ เพราะสุดท้ายเมื่อเขาเริ่มเบื่อ เขาอาจหันไปทำลายสิ่งของแทน อีกอย่างการที่ได้ออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน ยังทำให้เขาได้พบปะผู้คนหรือสุนัขตัวอื่น ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาโปรดปรานที่สุด

 

สุนัขพันธุ์นี้กับเด็ก

 

เมื่อพูดถึงการอยู่ร่วมกับคน สุนัข หรือสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ สุนัขโกลเด้น รีทริฟเวอร์ แทบไม่มีปัญหาเหล่านี้เลย เพราะพวกเขารักการที่ได้ทำความรู้จักและการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ การเห่าของสุนัขพันธุ์นี้มักหมายถึงการต้อนรับด้วยความตื่นเต้นไม่ใช่การแสดงความก้าวร้าวแต่อย่างใด เพราะสุนัขโกลเด้น รีทริฟเวอร์ สามารถผูกมิตรกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในบ้านของคุณได้ดีมากไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ทั้งเด็กเล็ก นกแก้ว หนูแฮมสเตอร์ ไปจนถึงปลาทอง แทบไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาจะทำอันตรายแก่คนอื่น (ด้วยความตั้งใจ) ข้อควรระวังสำหรับการเลี้ยงสุนัขโกลเด้น รีทริฟเวอร์ในครอบครัวที่มีเด็กเล็ก คนชรา หรือผู้ที่ไม่แข็งแรง เนื่องจากสุนัขโกลเด้น รีทริฟเวอร์นั้น มีนิสัยเหมือนเด็กบวกกับร่างกายที่แข็งแรงกำยำ บางครั้งความตื่นเต้นหรือชอบเล่นจนลืมตัว อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ แต่อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าที่จริงแล้วพวกเขาไม่เคยมีเจตนาทำร้ายใคร

 

ผู้เลี้ยงที่เหมาะกับสายพันธุ์โกลเด้น รีทริฟเวอร์

  • มีสถานที่เลี้ยงที่มีพื้นที่เพียงพอให้เขาทำกิจกรรม และผู้เลี้ยงควรมีเวลาทำกิจกรรมร่วมกัน พวกเขาเหมาะอย่างยิ่งสำหรับเป็นเพื่อนเล่น เพราะเขาสามารถเป็นได้หลายอย่างให้กับเด็ก ๆ ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนเล่น พี่เลี้ยง หมอนหนุน หรือบอดี้การ์ด
     
  • สุนัขโกลเด้น รีทริฟเวอร์เหมาะสำหรับผู้เลี้ยงที่เป็น Animal Lover เนื่องจากพวกเขาสามารถอยู่ร่วมกับสัตว์เลี้ยงตัวอื่น ๆ ของคุณได้อย่างเป็นมิตรและสงบสุข
     
  • คุณควรมีเวลาดูแลเรื่องขนและกลิ่นตัวของสุนัขอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และสำหรับผู้เลี้ยงมือใหม่ (ที่มีบริเวณเพียงพอ) สุนัขโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ เหมาะสมสำหรับเป็น “สุนัขตัวแรก” ของคุณเป็นอย่างยิ่ง
สุนัขปั๊ก

“น้อยแต่มาก” คือคำขวัญประจำสุนัขปั๊ก บ่งบอกได้ว่า “ตัวเล็กแต่มีอะไรมากมายให้ค้นหา” สุนัขปั๊กถือว่าเป็นสุนัขตระกูลทอยหรือสุนัขสายพันธุ์เล็ก เมื่อโตเต็มวัย ขณะยืนจะสูงประมาณ 25 - 33 ซม. รูปร่างจะดูเหลี่ยม ล่ำ มีกล้ามเนื้อ และหนักอย่างไม่น่าเชื่อ โดยมีน้ำหนักประมาณ 6.3 - 8.1 กก. ขนสั้น นุ่มและเป็นมัน มีสีเทาเงิน น้ำตาลส้มแอปริคอต น้ำตาลทอง หรือสีดำ

 

The need-to-know

 

  • สุนัขเหมาะสำหรับเจ้าของที่ไม่เคยเลี้ยงสุนัขมาก่อน
  • ต้องการการฝึกขั้นพื้นฐาน
  • ชอบเดินเบา ๆ
  • ชอบเดินวันละครึ่งชั่วโมง
  • สุนัขขนาดเล็ก
  • น้ำลายไหลให้น้อยที่สุด
  • ต้องดูแล/ตัดขนสัปดาห์ละครั้ง
  • สายพันธุ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  • สุนัขเงียบ
  • สุนัขเฝ้าบ้าน ต้องเห่าและเตือน
  • เข้ากันกับสัตว์อื่นได้ดี
  • สุนัขครอบครัวที่ดี
อายุเฉลี่ย:
12–15 ปี
น้ำหนัก:
6.3–8.1 กิโลกรัม
ส่วนสูง:
25–33 เซนติเมตร
สีขน:
สีเงิน สีน้ำตาลอมแดง สีน้ำตาลทอง หรือสีดำ
ขนาดตัว:
ขนาดเล็ก
ชื่อกลุ่มคนเลี้ยงสุนัข:
ทอย
บุคลิกภาพ

สุนัขปั๊ก มีเสน่ห์ อารมณ์ดี พร้อมจะเป็นคู่หูที่ส่งมอบความสุขและความเป็นมิตรให้กับเจ้าของ แม้จะตัวเล็กแต่ด้วยนิสัยที่ดี สุนัขปั๊กก็พร้อมจะเป็นขวัญใจของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ มีนิสัยใจเย็น รักความสงบ แต่ก็มีจังหวะขี้เล่นเรียกเสียงหัวเราะได้บ่อย ๆ เช่นกัน หากใส่ใจดูแลสุนัขพันธุ์นี้ คุณก็จะได้คู่หูที่ดีเยี่ยมมาหนึ่งตัว เพราะปั๊กเองไม่ชอบอยู่ห่างจากคนเจ้าของนาน ๆ

ประวัติและต้นกำเนิด

ประเทศต้นกำเนิด: จีน

 

สุนัขพันธุ์นี้มีประวัติโดดเด่นมาอย่างยาวนาน คาดว่าสุนัขปั๊กมีต้นกำเนิดที่ประเทศจีน และเข้าสู่ทวีปยุโรปไปกับเรือวาณิช ก่อนจะถูกพัฒนาสายพันธุ์ในเนเธอร์แลนด์ช่วงก่อนศตวรรษที่ 16 สุนัขพันธุ์ปั๊กมีความเชื่อมโยงกับราชวงศ์ดัตช์และสายราชสกุลเฮ้าส์ออฟออร์เรนจ์ (House of Orange) โดยหลังการปฏิบัติอันรุ่งโรจน์ (Glorious Revolution) ในปี 1689 พระเจ้าวิลเลี่ยมที่สองได้ขึ้นครองราชย์ในประเทศอังกฤษ พร้อมกับมีสุนัขพันธุ์ปั๊กเคียงข้าง ทำให้สุนัขพันธุ์นี้ได้รับความนิยมในหมู่ชนชั้นสูง

โภชนาการและการให้อาหาร

ขนของสุนัขปั๊กไม่ต้องการการดูแลมาก เพียงแค่แปรงขน สัปดาห์ละครั้งก็เพียงพอแล้ว อย่างไรก็ดี ต้องทำความสะอาดรอยย่นบนจมูกทุกวัน รวมทั้งตรวจหูและตาด้วย

การออกกำลังกาย

สุนัขปั๊กต้องการการออกกำลังกายเพียงครึ่งชั่วโมงต่อวัน แต่ก็พร้อมป้วนเปี้ยนรอบ ๆ คุณ หรือออกไปทำธุระเป็นเพื่อนคุณเสมอ ไม่ควรพาไปออกกำลังกายช่วงอากาศร้อน หรือปล่อยให้รออยู่ในรถแม้อากาศจะไม่ร้อนมาก เพราะอาจทำให้หายใจไม่ออกได้

เจ้าของในอุดมคติ

สุนัขพันธุ์ปั๊กเหมาะกับเจ้าของที่มีอารมณ์ขัน และต้องการเลี้ยงสุนัขขนาดเล็กที่มีเสน่ห์ และฝึกง่าย พร้อมไปไหนด้วยกันทุกที่ ปั๊กเป็นสุนัขที่ไม่ต้องพาไปออกกำลังกายมากนัก แต่ระวังเสียงนอนกรนของสุนัขพันธุ์นี้ให้ดี

ข้อมูลอื่นๆ

สุขภาพและปัญหาที่มักพบ

 

ปัญหาสุขภาพหลักของสุนัขปั๊กเกิดจากลักษณะใบหน้าที่แบน ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาระบบทางเดินหายใจ ทำให้หายใจลำบาก ดังนั้นจึงต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้ออกกำลังกายมากเกินไป และรักษาอุณหภูมิร่างกายไม่ให้สูงเกิน สุนัขพันธุ์นี้เสี่ยงมีปัญหาสายตาเช่นเดียวกับสุนัขสายพันธุ์เล็กอื่น ๆ และอาจมีปัญหาสะบ้าหัวเข่าที่อาจเคลื่อนหลุดได้ (luxating patellas)

 

พื้นที่ในการเลี้ยงสุนัข

 

ปั๊กเป็นสุนัขที่เหมาะกับการเลี้ยงในสังคมเมืองที่มีพื้นที่น้อย ไม่ต้องการสวน ขอแค่ได้ออกไปข้างนอกเดินออกกำลังกายหรือขับถ่ายก็พอแล้ว แต่ถ้าเลี้ยงในเขตชนบท สุนัขปั๊กก็ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขเช่นกัน

 

การฝึกสุนัข

 

หลายคนอาจประเมินสุนัขตัวจิ๋วตัวนี้ผิดไป แตจริง ๆ แล้วสุนัขปั๊กสามารถรับการฝึกได้ดีเกิดคาด และยังชอบการเรียนรู้ ทั้งการฝึกคำสั่งพื้นฐาน และฝึกเทคนิคสนุก ๆ ด้วย สุนัขปั๊กควรได้รับการฝึกให้เดินด้วยสายจูงและสายคล้องตัว รวมถึงการฝึกให้ตอบรับเวลาเรียก แม้สุนัขสายพันธุ์นี้จะไม่เดินออกห่างจากเจ้าของสุดที่รักไปไกล ๆ ก็ตาม

 

การอยู่ร่วมกับเด็กของสุนัข

 

แม้สุนัขส่วนใหญ่จะเป็นมิตรกับเด็ก แต่ทั้งสุนัขปั๊กและเด็กจะต้องได้รับการฝึกให้เคารพซึ่งกันและกัน และอยู่ร่วมกันได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตามไม่ควรปล่อยให้เด็กเล็กและสุนัขอยู่ด้วยกันตามลำพัง ควรเฝ้าระวังทุกครั้งที่เด็กเล่นกับสุนัข

 

รู้หรือไม่

 

  • สุนัขพันธุ์ปั๊กเป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์สุนัขที่คนนิยมเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน ปั๊กมีชื่อเสียงโด่งดังจากภาพยนตร์ Men in Black (1997) เป็นตอนที่มาชู สุนัขพันธุ์ปั๊กที่ได้รับการฝึกให้ช่วยเหลือผู้คน ได้รับบทเป็นเอเลี่ยนอัจฉริยะนามว่า แฟรงก์ ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง จนตัวละครนี้ได้มีบทเพิ่มเติมในภาพยนตร์ภาคต่อในปี 2002 ซึ่งในตอนนั้นมาชูมีอายุได้ 7 ปี และต้องแต่งหน้าเพื่อปกปิดขนหงอกขาวตามใบหน้า
  • ในภาพยนตร์เรื่องนี้ มาชูได้สวมชุดสูทงานอิตาลีที่มีราคาถึง 9,000 ดอลลาร์ ความนิยมของสายพันธุ์นี้ไม่ช่วยให้ชีวิตของสุนัขดีขึ้น เพราะยังมีผู้เพาะพันธุ์ที่ไร้ความรับผิดชอบมากมายแต่กลับทำกำไรได้จากความนิยมครั้งนี้ ด้วยความที่เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่ต้องเลี้ยงด้วยความใส่ใจสูง และการเลี้ยงแบบขาดความรับผิดชอบ จะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพมากมาย
สุนัขพุดเดิ้ลทอย

สุนัขพุดเดิ้ลทอยเป็นสุนัขที่มีลักษณะสง่างาม ส่วนปากและจมูกเรียว คอยาว ขนหยิก มักมีการตัดแต่งทรง และมีได้หลายเฉดสี ได้แก่ สีคราม เทา เงินเข้ม น้ำตาล น้ำตาลอ่อน และสีครีม เมื่อโตเต็มวัยจะมีความสูงไม่เกิน 28 ซม. และหนักไม่เกิน 4.5 กก.

 

The need-to-know

 

  • สุนัขเหมาะสำหรับเจ้าของที่ไม่เคยเลี้ยงสุนัขมาก่อน
  • ต้องการการฝึกขั้นพื้นฐาน
  • ชอบเดินเบา ๆ
  • ชอบเดินวันละครึ่งชั่วโมง
  • สุนัขขนาดเล็กจิ๋ว
  • น้ำลายไหลให้น้อยที่สุด
  • ต้องดูแล/ตัดขนสุนัขทุกวัน
  • สายพันธุ์แพ้ง่าย
  • สุนัขช่างพูดและช่างเห่า
  • สุนัขเฝ้าบ้าน ต้องเห่าและเตือน
  • เข้ากันกับสัตว์อื่นได้ดี
  • สุนัขครอบครัวที่ดี
บุคลิกภาพ

สุนัขพุดเดิ้ลทอยมีชีวิตชีวาและจิตใจดี ทำหน้าที่เป็นสุนัขคู่ใจได้อย่างดีเยี่ยม สามารถเฝ้าบ้านได้ พร้อมเห่าเตือนเมื่อมีแขกมาหา สุนัขพุดเดิ้ลทอยเป็นสุนัขอารมณ์ดี ตอบสนองกับเสียงสูงต่ำได้ไวเป็นพิเศษ และตอบสนองกับการฝึกได้ดี เด็ก ๆ ต้องเรียนรู้วิธีการเข้าหาสุนัขสายพันธุ์เล็กแต่ความรู้สึกไวพันธุ์นี้อย่างระมัดระวัง

ประวัติและต้นกำเนิด

ประเทศต้นกำเนิด: เยอรมนี

 

สุนัขพุดเดิ้ลทอยนี้มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ราว 500 ปีที่แล้ว ในช่วงศตวรรษที่ 17-18 สุนัขพันธุ์พุดเดิ้ลเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูงที่ต้องการสุนัขที่มีขนาดเล็กกว่าสายพันธุ์เล็กทั่วไป จึงนำไปสู่การพัฒนาสายพันธุ์พุดเดิ้ลทอยขึ้น คำว่า “พุดเดิ้ล” (Poodle) มาจากคำในภาษาเยอรมัน “พูเดล” (pudel) หมายถึง “จอมลุยน้ำ” เนื่องจากสุนัขพุดเดิ้ลพันธุ์มาตรฐาน (ต้นสายพันธุ์ของมินิและทอย) ขึ้นชื่อเรื่องการคาบเหยื่อหรือเก็บสิ่งของต่าง ๆ บนผิวน้ำ

โภชนาการและการให้อาหาร

สุนัขพุดเดิ้ลทอย เป็นสุนัขที่มีอัตราการเผาผลาญพลังงานสูง ย่อยอาหารได้รวดเร็ว แต่ด้วยกระเพาะอาหารขนาดเล็ก ควรให้อาหารปริมาณน้อย แต่แบ่งย่อยเป็นหลายมื้อ อาหารของสุนัขพันธุ์เล็กออกแบบมาเป็นพิเศษให้มีสารอาหารสำคัญในปริมาณที่เหมาะสม และมีขนาดเม็ดที่เล็กพอดีกับขนาดปาก ซึ่งช่วยให้เคี้ยวง่าย ส่งผลดีต่อระบบย่อยอาหาร

การออกกำลังกาย

สุนัขพุดเดิ้ลทอยไม่ค่อยอยู่นิ่ง ขี้เล่น และชื่นชอบการเล่นกิจกรรมสนุก ๆ เป็นพิเศษ การเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่กระตุ้นการทำงานของสมองและร่างกายเหมาะกับสุนัขพันธุ์นี้ สุนัขพุดเดิ้ลทอยเข้าใจคำสั่งได้อย่างดี มีความคล่องแคล่ว และชอบเล่นกีฬา

ข้อมูลอื่นๆ

สุขภาพและปัญหาที่มักพบ

 

สุนัขพุดเดิ้ลทอยอาจมีปัญหาสะบ้าหัวเข่าเคลื่อนหลุด (luxating patellas) เช่นเดียวกับสุนัขพันธุ์เล็กพันธุ์อื่น ๆ และเสี่ยงต่อปัญหาบริเวณสะโพก รวมถึงความผิดปกติของดวงตาเนื่องจากพันธุกรรมดังนั้นจึงควรได้รับการตรวจเป็นประจำที่ควรตรวจอย่างสม่ำเสมอ

 

การอยู่ร่วมกับเด็กของสุนัข

 

แม้สุนัขส่วนใหญ่จะเป็นมิตรกับเด็ก แต่ทั้งสุนัขพุดเดิ้ลทอยและเด็กจะต้องได้รับการฝึกให้เคารพซึ่งกันและกัน และอยู่ร่วมกันได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตามไม่ควรปล่อยให้เด็กเล็กและสุนัขอยู่ด้วยกันตามลำพัง ควรเฝ้าระวังทุกครั้งที่เด็กเล่นกับสุนัข

ปอมเมอเรเนียน (Pomeranian)

ปอมเมอเรเนียน (Pomeranian) สุนัขตัวเล็กหัวใจไม่เล็กและเคล็ดลับในการดูแลสุขภาพ
ทำความรู้จักปอมเมอเรเนียน (Pomeranian)
ปอมเมอเรเนียน (Pomeranian) เป็นสุนัขที่จัดอยู่ในกลุ่ม Toy Group แม้ว่าจะมีขนาดตัวเล็กแต่ปอมเมอเรเนียนกลับครองใจเจ้าของผู้เลี้ยงมาอย่างยาวนาน แถมยังเป็นสายพันธุ์สุดโปรดของทั้งเจ้าของอย่างเราและเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง แถมประวัติของสุนัขสายพันธุ์นี้ยังมีความน่าสนใจไม่แพ้สายพันธุ์ไหน ด้วยขนที่ฟูดูนุ่มน่ากอด หน้าตาจิ้มลิ้ม มีความเป็นมิตร น่ารักมีชีวิตชีวา ขนาดตัวที่แสนกะทัดรัด ช่างเอาอกเอาใจ แอคทีฟแสนกระตือรือร้น และเก่งไม่แพ้สุนัขสายพันธุ์ไหนในสนามประลองความสามารถก็เล่นทำได้ไปเสียหมดทุกเรื่องขนาดนี้ มิน่าล่ะทำไมใครๆ ก็เรียกปอมเมอเรเนียนว่าเป็นสุนัขตัวเล็กแต่ความสามารถรอบด้าน

 

The need-to-know

 

  • สุนัขเหมาะสำหรับเจ้าของที่ไม่เคยเลี้ยงสุนัขมาก่อน
  • ต้องการการฝึกขั้นพื้นฐาน
  • ชอบเดินเบา ๆ
  • ชอบเดินวันละครึ่งชั่วโมง
  • สุนัขขนาดเล็กจิ๋ว
  • น้ำลายไหลได้บ้าง
  • ต้องดูแล/ตัดขนสุนัขทุกวัน
  • สายพันธุ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  • สุนัขส่งเสียงเห่ามากเป็นพิเศษ
  • สุนัขเฝ้าบ้าน ต้องเห่าและเตือน
  • เข้ากันกับสัตว์อื่นได้ดี
  • สุนัขครอบครัวที่ดี
อายุเฉลี่ย:
12–16 ปี
น้ำหนัก:
1.8–3 กิโลกรัม
ส่วนสูง:
18–30 เซนติเมตร
สีขน:
White, black, brown, blue, red, orange, beaver, cream, white, merle, parti-coloured, sable
ขนาดตัว:
ขนาดเล็ก
ชื่อกลุ่มคนเลี้ยงสุนัข:
ทอย
บุคลิกภาพ

ปอมเมอเรเนียนจะมีน้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ 1.3-3.1 กิโลกรัม และจัดว่าเป็นสุนัขที่มีขนาดตัวเล็กที่สุดในตระกูลสปิทซ์ (โดยมีญาติๆ เป็นสายพันธุ์ซามอยด์ อลาสกัน มาลามิว และ นอร์วิเจียน เอลก์ฮาวด์) แต่ความนิยมในสุนัขสายพันธุ์นี้ไม่ได้เล็กไปตามขนาดตัว โดยเฉพาะเมื่อปอมเมอเรเนียน กลายเป็นสุนัขตัวโปรดของพระราชินีวิกตอเรีย (อ่านเพิ่มเติมที่ ประวัติสายพันธุ์ปอมเมอเรเนียน)

 

แม้จะน่ารัก มีขนสวย ฉลาด และแสนภักดีต่อครอบครัวขนาดไหน แต่อย่าปล่อยให้ความน่ารักหลอกคุณว่าสุนัขสายพันธุ์นี้จะมาคลอเคลียคุณตลอดเวลาเพราะปอมเมอเรเนียนก็มีความอินดี้ไม่ใช่เล่น แถมยังมีความขี้สงสัยเป็นที่สุด และถึงจะมีขนาดตัวเล็ก แต่เสียงเห่าของปอมเมอเรเนียนดังไม่แพ้

 

ใครที่ต้องการจะสอนหรือฝึกปอมเมอเรเนียน บอกเลยว่าคุณสามารถทำได้ แต่ต้องอาศัยความสม่ำเสมอและอดทนในการฝึกหน่อย เพราะถ้าเจ้าของไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับปอมเมอเรเนียนในฐานะเจ้านายได้ สุนัขสายพันธุ์นี้ก็พร้อมที่จะเป็นนายคุณ และอาจจะสร้างพฤติกรรมน่าปวดหัวให้กับเจ้าของได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

 

ปอมเมอเรเนียนจัดว่าเป็นสุนัขที่มีพลังงานล้น ชอบที่จะออกไปเดินเล่นข้างนอก รักที่จะเชิดหน้าให้ดูสง่างาม เจอผู้คนใหม่ๆ และสำรวจโลกด้วยการดมฟุดฟิด และความมีพลังงานเชิงบวกของสุนัขสายพันธุ์นี้ ทำให้ปอมเมอเรเนียนเหมาะที่จะเป็นสุนัขที่ช่วยฟื้นฟูผู้ป่วย ผู้สูงอายุที่อยู่ที่บ้าน

 

ขนาดของปอมเมอเรเนียน
ปอมเมอเรเนียนจัดเป็นสุนัขขนาดเล็ก โดยมีความสูงประมาณ 7-12 นิ้ว และมีน้ำหนักอยู่ที่ 1.3-3.1 กิโลกรัม จึงจัดอยู่ในกลุ่ม Toy Group และมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 12-16 ปี

 

บุคลิกของปอมเมอเรเนียน
สุนัขปอมเมอเรเนียนโดดเด่นที่ความฉลาดและมีชีวิตชีวา สุนัขสายพันธุ์นี้ชอบที่จะพบปะผู้คนใหม่ๆ และชอบที่จะเจอสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ ด้วยเช่นกัน แต่ปอมเมอเรเนียนมักจะคิดว่าตัวเองเป็นน้องหมาตัวใหญ่ (ตัวเล็กแต่ใจกล้ามาก) แถมยังขี้สงสัยแบบสุดๆ จึงเหมาะที่จะให้สุนัขปอมเมอเรเนียนทำหน้าที่เฝ้ายาม

 

มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อนิสัยและอารมณ์ของปอมเมอเรเนียน เช่น พันธุกรรม การฝึก และการเข้าสังคม ลูกหมาปอมที่มีนิสัยที่ดีจะมีความช่างสงสัย ขี้เล่น ชอบที่จะเข้าหาคน และอยู่ด้วย หากคุณจะเลือกปอมเมอเรเนียนซักตัวมาเป็นหนึ่งในสมาชิก ก็ควรเลือกสุนัขตัวที่ยอมนั่งตักคุณแบบเต็มใจ ไม่ใช่สุนัขที่ไล่กัดเพื่อนตัวอื่น หรือขี้อายเสียจนแอบอยู่ที่มุมห้องอยู่ตัวเดียวอย่างเดียวดาย

ประวัติและต้นกำเนิด

ประเทศต้นกำเนิด: ไอซ์แลนด์

 

ปอมเมอเรเนียน มาจากจังหวัดปอมเมอเรเนียน ตั้งอยู่ทางชายฝั่งตอนใต้ของทะเลบอลติกในประเทศเยอรมัน ซึ่งที่นี่นิยมเลี้ยงปอมเมอเรเนียนไว้เป็นทั้งสัตว์เลี้ยงและทั้งใช้งาน เพราะเดิมเป็นสุนัขพันธุ์ใหญ่ใช้ลากเลื่อนและเฝ้าฝูงแกะ และเชื่อว่ามีต้นกำเนิดจากสุนัขสายพันธุ์สปิทซ์ สุนัขแถบไอซ์แลนด์และแลปแลนด์ บริเวณตอนเหนือของทวีปยุโรป จึงไม่แปลกที่ปอมเมอเรเนียนจะคล้ายคลึงกับสุนัขพันธุ์สปิทซ์ ทั้งหน้าตา ขนและลักษณะ

 

หลังจากนั้นปอมเมอเรเนียนก็ถูกพัฒนาสายพันธุ์ให้มีขนาดเล็กลงกว่าเดิม เพื่อเอาไว้เป็นสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อนคู่ใจมากกว่าใช้ทำงาน และยิ่งพัฒนาให้เล็กลงเรื่อยๆ จนเหลือตัวเท่าที่เห็นในปัจจุบัน โดยเฉลี่ยจะหนักอยู่ที่ประมาณ 1.3-3.1 กิโลกรัม (อ่านเพิ่มเติมที่ ขนาดของปอมเมอเรเนียน) ซึ่งในราวกลางศตวรรษที่ 19 ยังพบว่าปอมเมอเรเนียนตัวแรกที่เข้ามาในอังกฤษมีน้ำหนักตัวถึง 13.6 กิโลกรัมอีกด้วย ซึ่งนับว่าเป็นสุนัขที่ตัวใหญ่พอสมควร

 

มีคำอธิบายถึงลักษณะปอมเมอเรเนียนในสมัยยุควิกตอเรียตอนปลายว่า ปอมเปอเรเนียนนั้นมีขนยาว หนาออกมาจากลำตัว มีหางที่ม้วนแน่นและค่อนข้างสั้นอยู่ใกล้ด้านหลัง มีหัวเหมือนสุนัขจิ้งจอก ใบหูที่เล็กและตั้งตรง ขาเล็กและลำตัวสั้น คล้ายลูกแมว

 

นอกจากนี้ปอมเมอเรเนียนยังมีรูปหน้าถึง 3 ลักษณะ คือ แบบจิ้งจอก ตุ๊กตาหมี และตุ๊กตาเด็ก แต่หากวัดตามมาตรฐานของสมาคมพัฒนาสายพันธุ์สุนัขแห่งอเมริกา (AKC) ลักษณะหน้าแบบจิ้งจอกเป็นลักษณะที่ถูกต้องที่สุดของสายพันธุ์ปอมเมอเรเนียน

 

มีเรื่องราวของราชินีวิกตอเรียกับปอมเมอเรเนียน สุนัขตัวโปรดของพระองค์ สุนัขขนฟูตัวเล็กผู้โด่งดังตั้งแต่ในยุควิกตอเรียจนถึงปัจจุบัน เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1888 เมื่อพระราชินีวิกตอเรียทรงเสด็จเยือนเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ในทวีปยุโรป และพระองค์ก็ได้ตกหลุมรักสิ่งหนึ่ง ความน่ารักของจมูกอันน้อยนิดและดวงตาที่ใหญ่ประกายแวววาว ดวงตานั้นได้ขโมยหัวใจของพระองค์ไป มันคือดวงตาของสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนตัวน้อยตัวหนึ่ง ซึ่งนั่นเป็นการพบกันครั้งแรกระหว่างพระองค์กับสุนัขพันธุ์นี้ หลังจากที่ทรงนำสุนัขพันธุ์นี้กลับมาเลี้ยงปอมเมอเรเนียนก็เริ่มเป็นที่นิยมแพร่หลายในประเทศอังกฤษ

 

พระองค์ทรงโปรดสุนัขพันธุ์นี้มาก แม้กระทั่งวันที่ทรงประชวรบนแท่นพระบรรทมยังทรงให้นำสุนัขปอมเมอเรเนียนเพศเมีย ขนสีขาวตัวโปรดที่ชื่อ Turi มาไว้ข้างพระแท่นบรรทม และเป็นสุนัขที่นอนเฝ้าอยู่ข้างพระวรกายจนพระองค์สิ้นพระชนม์

โภชนาการและการให้อาหาร

สารอาหารที่จำเป็นสำหรับร่างกายของปอมเมอเรเนียนควรมีสัดส่วนที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย และกิจกรรมในแต่ละวันของสุนัขสายพันธุ์นี้ โดยประกอบไปด้วย

 

  1. โปรตีน : เพื่อสร้างเนื้อเยื่อที่เป็นโครงสร้างหลักของร่างกาย ในอาหารควรมีกรดอะมิโนซึ่งเป็นหน่วยย่อย ของโปรตีนอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรดอะมิโนชนิดที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้
     
  2. คาร์โบไฮเดรต : เพื่อเป็นแหล่งพลังงานในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเซลล์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เซลล์ประสาท เซลล์หัวใจ และเม็ดเลือดแดง อาหารที่มีคุณภาพดีควรมีการคำนวณปริมาณคาร์โบไฮเดรตอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการเกิดโรคอ้วนในสุนัข
     
  3. ไขมัน : ช่วยให้พลังงานแก่ร่างกาย โดยให้พลังงานได้สูงกว่าโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต นอกจากนี้ไขมันยังช่วยในการดูดซึมวิตามิน อี ดี เอ และเค รวมถึงยังดูแลให้ความอบอุ่น และมีส่วนช่วยในระบบห่อหุ้มร่างกาย เช่น โอเมก้า 3 และ 6 ที่ช่วยบำรุงผิวหนังและขนของสุนัขสายพันธุ์นี้
     
  4. วิตามิน และแร่ธาตุ : แม้ร่างกายจะต้องการวิตามินและแร่ธาตุในปริมาณน้อย แต่หากได้รับไม่เพียงพอหรือได้รับมากเกินไป ก็อาจส่งผลต่อการทำงานของร่างกาย และทำให้ร่างกายเกิดความผิดปกติได้ ตัวอย่างวิตามินและแร่ธาตุที่ร่างกายสุนัขต้องการ ได้แก่ วิตามินบี แคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นต้น

 

นอกเหนือจากสารอาหารหลักที่ควรมีอย่างครบถ้วนตามหลักโภชนาการแล้ว ก็ควรเลือกอาหารที่ผลิตจากวัตถุดิบคุณภาพดี เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับสุนัขสายพันธุ์ปอมเมอเรเนียน เลือกอาหารที่เน้นการคัดสรรวัตถุดิบหลักมาจากธรรมชาติปราศจากสีและวัตถุปรุงแต่งกลิ่นรสสังเคราะห์ โดยมีการคำนวนสารอาหารให้มีปริมาณสอดคล้องกับความต้องการของร่างกายสุนัข เพื่อให้สุนัขมีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก อย่างเช่น SUPERCOAT (ซุปเปอร์โค้ท) สูตรสุนัขโตพันธุ์เล็ก ที่เสริมการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกายสุนัขให้เหมาะกับกิจกรรมในแต่ละวัน และมีความสมดุลกับความต้องการด้านโภชนาการของสุนัขสายพันธุ์เล็กโดยเฉพาะ อร่อยกับรสชาติที่ได้จากวัตถุดิบแท้ๆ จากธรรมชาติ เพิ่มพลังงานด้วยวิตามินบี เพื่อการนำพลังงานไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เม็ดอาหารมีขนาดเหมาะสมช่วยเรื่องระบบการย่อยอาหาร และยังมีโอเมก้า 3 และ 6 ช่วยให้ขนของปอมเมอเรเนียนสวย
เงางามมีสุขภาพดี

 

ความต้องการพิเศษเฉพาะสายพันธุ์ของปอมเมอเรเนียน
ดูแลเรื่องขนของปอมเมอเรเนียนเป็นพิเศษ ด้วยการเลือกอาหารที่มีโอเมก้า 3 และ 6 ที่จะช่วยให้ขนของปอมเมอเรเนียนเงางามและดูมีสุขภาพที่ดี รวมทั้งใส่ใจเรื่องกระดูกและข้อของปอมเมอเรเนียนเป็นพิเศษเพื่อให้ปอมเมอเรเนียนห่างไกลจากปัญหาข้อสะโพกเสื่อม และปัญหาสะบ้าเคลื่อนที่พบได้บ่อยในสุนัขสายพันธุ์นี้ด้วยการเลือกวัสดุที่ปูพื้นบ้านที่ไม่ลื่น หรือเดินเล่นบริเวณที่ไม่เป็นพื้นลื่น ให้ปอมเมอเรเนียนออกกำลังกายวันละ 1-2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 15 นาที แต่ระวังไม่พาสุนัขไปเดินเล่นในวันที่มีอากาศร้อนจัด เพื่อป้องกันการเกิดโรคลมแดด หรือถ้าให้สุนัขเล่นของเล่นในบ้านก็เลือกของเล่นให้เล่นรับรองว่าถูกใจสุนัขแสนฉลาดอย่างปอมเมอเรเนียนแน่นอน

ข้อมูลอื่นๆ

สุขภาพและปัญหาที่มักพบ

 

สุนัขสายพันธุ์นี้จัดเป็นสุนัขที่มีสุขภาพโดยรวมดี แต่ถึงอย่างนั้นปอมเมอเรเนียนก็มีโอกาสเกิดปัญหาสุขภาพได้เหมือนกันกับสุนัขสายพันธุ์อื่น โดยอาจพบโรคเหล่านี้ในสุนัขสายพันธุ์ปอมเมอเรเนียนได้ - โรคอ้วน : ด้วยความที่เป็นสุนัขขนาดเล็ก หากได้รับปริมาณอาหารที่มากเกินไปอาจทำให้สุนัขเกิดภาวะอ้วนได้ - ภูมิแพ้ : สังเกตได้จากการเลียเท้า อมเท้า คันเกา ไถหน้ากับพื้น หากแสดงอาการเหล่านี้ควรพาไปพบสัตวแพทย์ - เป็นลม : ในสุนัขปอมเมอเรเนียนบางตัวอาจจะพัฒนากลายเป็นโรคลมชักได้ ซึ่งควรเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสม - ปัญหาตา เช่น ตาแห้ง ต้อกระจก และท่อน้ำตาอุดตัน ควรพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์เพื่อทำการตรวจตา และรับการรักษาให้เร็วที่สุด เพราะหากทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้ตาบอดได้ - ข้อสะโพกเคลื่อน : จะพบท่าเดินที่ผิดปกติ และแสดงอาการเจ็บ หรือลุกนั่งลำบากได้ ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคมีหลายประการ เช่น สายพันธุ์ สิ่งแวดล้อมที่อยู่ (พื้นที่ลื่น) อาหารที่กิน ซึ่งหากเป็นแล้วต้องทำการรักษาด้วยการผ่าตัด - สะบ้าเคลื่อน : เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในสายพันธุ์ปอมเมอเรเนียน และสร้างความเจ็บปวดให้กับสุนัขที่มีปัญหานี้ ทำให้เกิดอาการขาเจ็บ หรือลักษณะการเดินที่ผิดปกติ โดยสุนัขจะมีการยกขาขึ้นเล็กน้อยขณะเดิน หรือมีการเขย่าขาหรือยืดขาก่อนที่จะกลับมาเดินในท่าปกติ - ปัญหาเหงือกและฟัน : หมั่นพาสุนัขไปตรวจฟันกับสัตวแพทย์เป็นประจำปีละครั้ง และดูแลช่องปากสุนัขด้วยการแปรงฟัน หรือเลือกอาหารที่มีส่วนช่วยในการขัดฟัน

 

สุนัขพันธุ์นี้กับเด็ก

 

โดยปกติสุนัขสายพันธุ์นี้ชอบเล่น และสามารถเล่นกับเด็กๆ ที่ปอมเมอเรเนียนรู้สึกไว้ใจได้ ครอบครัวที่มีเด็กเล็กอยู่ในบ้านสามารถสอนเด็กๆ ให้รู้จักเล่นกับปอมเมอเรเนียนอย่างอ่อนโยน ไม่ดึงขน หู หาง หรือไม่ตีสุนัข เพื่อป้องกันไม่ให้สุนัขกัดเด็กๆ ข่าวดีสำหรับบ้านที่มีแมว เพราะสุนัขสายพันธุ์ปอมเมอเรเนียน เข้ากันได้ดีมากๆ กับแมว ยิ่งถ้าเลี้ยงมาด้วยกันตั้งแต่เล็กๆ แล้วล่ะก็บอกได้เลยว่าสามัคคีกลมเกลียวกันได้แน่นอน แต่ต้องระวังสำหรับสุนัขตัวใหญ่ เพราะปอมเมอเรเนียนมักคิดว่าตัวโตเท่ากัน อาจจะโดนสุนัขตัวใหญ่กัดเอาได้ วิถีชีวิตสไตล์ปอมเมอเรเนียน ด้วยความที่สุนัขสายพันธุ์ปอมเมอเรเนียนจัดเป็นสุนัขขนาดเล็ก ดังนั้นเรื่องพื้นที่ในการเลี้ยงจึงไม่ใช่ปัญหา เพราะสามารถเลี้ยงน้องหมาปอมได้ในพื้นที่จำกัด เช่น อะพาร์ตเมนต์หรือคอนโด (ที่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์) ได้ แต่อาจต้องระวังเรื่องการเห่าที่อาจสร้างความกังวลใจให้กับผู้ที่อยู่อาศัยห้องอื่นๆ และถ้าอยากจะพาปอมเมอเรเนียนออกไปเที่ยวที่ไหน ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเพียงแค่เลือกสถานที่ที่มีร่ม อากาศไม่ร้อนจัด เตรียมน้ำ อาหาร สายจูง และอุปกรณ์ทำความสะอาดไป ปอมเมอเรเนียนก็พร้อมที่จะไปกับเจ้าของได้ทุกที่แล้ว ผู้เลี้ยงที่เหมาะกับน้องหมาปอมเมอเรเนียน ด้วยนิสัยรักเจ้าของ ขี้ประจบ ปอมเมอเรเนียนจึงเหมาะกับเจ้าของที่มีเวลาดูแลหัวใจสุนัขบ้าง มีเวลาเล่นด้วยกันสักหน่อย แต่ที่สำคัญคือต้องมีเวลาในการดูแลแปรงขน แปรงฟัน ให้กับปอมเมอเรเนียนอย่างสม่ำเสมอ หากใครมีบ้านอยู่ในอะพาร์ตเมนต์ (ที่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้) แต่อยากเลี้ยงสุนัขสักตัว ปอมเมอเรเนียนเป็นสุนัขที่เหมาะกับคุณไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะปอมเมอเรเนียนไม่ต้องการสนามหญ้ากว้างๆ หรือพื้นที่ใหญ่ๆ ด้วยขนาดตัวแสนกะทัดรัด แต่ถ้าบ้านไหนที่มีเด็กเล็กๆ อาศัยอยู่ด้วยก็อาจจะไม่เหมาะนัก รอให้เด็กๆ โตอีกสักหน่อย รับรองว่าปอมเมอเรเนียนจะเป็นเพื่อที่ดีกับทุกคนในครอบครัวได้อย่างแน่นอน

สุนัขมอลทีส (Malrese)

สุนัขมอลทีสสุนัขพันธุ์เล็กที่ให้ภาพลักษณ์สง่างามดั่งขุนนาง มีตาสีดำ ขนยาวเส้นละเอียดนุ่มดุจไหมสีขาวบริสุทธิ์ สุนัขมอลทีสถือเป็นสุนัขที่รูปร่างหน้าตาโดดเด่นมาก ๆ เมื่อโตเต็มวัยจะมีส่วนสูงไม่เกิน 25 ซม.และหนักประมาณ 1.8 - 2.7 กก.

 

The need-to-know

 

  • สุนัขเหมาะสำหรับเจ้าของที่ไม่เคยเลี้ยงสุนัขมาก่อน
  • ต้องการการฝึกขั้นพื้นฐาน
  • ชอบเดินเบา ๆ
  • ชอบเดินวันละครึ่งชั่วโมง
  • สุนัขขนาดเล็กจิ๋ว
  • น้ำลายไหลให้น้อยที่สุด
  • ต้องดูแล/ตัดขนสุนัขทุกวัน
  • สายพันธุ์แพ้ง่าย
  • สุนัขช่างพูดและช่างเห่า
  • สุนัขเฝ้าบ้าน ต้องเห่าและเตือน
  • เข้ากันกับสัตว์อื่นได้ดี
  • สุนัขครอบครัวที่ดี
อายุเฉลี่ย:
12–15 ปี
น้ำหนัก:
2–4 กิโลกรัม
ส่วนสูง:
20–25 เซนติเมตร
สีขน:
สีขาว
ขนาดตัว:
ขนาดเล็ก
ชื่อกลุ่มคนเลี้ยงสุนัข:
ทอย
บุคลิกภาพ

แม้สุนัขมอลทีสจะตัวเล็ก อารมณ์ดี และท่วงท่าสง่างาม แต่สุนัขสายพันธุ์เล็กพันธุ์นี้ไม่ได้มีดีเพียงหน้าตาเท่านั้น บางครั้งก็เจ้าอารมณ์เช่นกัน มักเห่าเสียงดังเมื่อเกิดอาการหวาดระแวงสิ่งต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องฝึกตั้งแต่ยังเล็ก ไม่ให้เห่าเมื่อมีสิ่งยั่วยุเล็ก ๆ น้อย ๆ

ประวัติและต้นกำเนิด

ประเทศต้นกำเนิด: มอลตา

 

สุนัขมอลทีสเป็นอีกหนึ่งสุนัขสายพันธุ์เก่าแก่ ซึ่งชาร์ลส์ ดาร์วิน ค้นพบประวัติสุนัขพันธุ์มอลทีสเมื่อสืบย้อนกลับไปถึงช่วง 6,000 ปีก่อนคริสตกาล สุนัขมอลทีสเป็นสายพันธุ์ย่อยของกลุ่มสายพันธุ์บิชอง ซึ่งมีที่มาจากแถบเมดิเตอร์เรเนียน เป็นที่ทราบกันดีว่า พูบลิอุส (Publius) ผู้ปกครองมัลตาแห่งจักรวรรดิโรมันในช่วงคริสศักราชที่ 1 ก็เลี้ยงสุนัขสายพันธุ์มอลทีสชื่อ อิสซา สายพันธุ์นี้เป็นที่นิยมในหมู่เชื้อพระวงศ์และเหล่าขุนนางมาตลอดหลายยุคสมัยและยังปรากฏในภาพวาดของสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบ็ธที่ 1 และสมาชิกคนอื่น ๆ ในราชวงศ์ ว่ากันว่าขณะที่พระราชินีแมรีแห่งสก็อตแลนด์กำลังจะถูกประหารด้วยการบั่นพระศอ พระนางได้ซ่อนสุนัขมอลทีสไว้ใต้กระโปรงด้วย

โภชนาการและการให้อาหาร

สุนัขสายพันธุ์เล็กมีอัตราการเผาผลาญพลังงานสูง ย่อยอาหารได้รวดเร็ว แต่ด้วยกระเพาะอาหารขนาดเล็ก อาหารที่ให้สุนัขมอลทีสควรมีปริมาณน้อย แต่แบ่งย่อยเป็นหลายมื้อ อาหารของสุนัขพันธุ์เล็กออกแบบมาเป็นพิเศษให้มีสารอาหารสำคัญในปริมาณที่เหมาะสม และมีขนาดเม็ดที่เล็กพอดีกับขนาดช่องปาก ซึ่งช่วยให้เคี้ยวง่าย ส่งผลดีต่อระบบย่อยอาหาร

การออกกำลังกาย

การได้ออกกำลังกายวันละครึ่งชั่วโมงจะช่วยให้สุนัขมอลทีสอารมณ์ดี แต่จะออกกำลังกายมากกว่านี้ก็ได้หากมีเวลา บางครั้งสุนัขมอลทีสจะกระตือรือร้นมากจนน่าประหลาดใจหากได้ออกไปเที่ยวข้างนอก บ่งบอกถึงสัญชาตญาณความเป็นนักล่าตัวน้อย

ข้อมูลอื่นๆ

สุขภาพและปัญหาที่มักพบ

 

สุนัขมอลทีสมีปัญหาสะบ้าหัวเข่าที่อาจเคลื่อนหลุดได้ (luxating patellas) เช่นเดียวกับสุนัขพันธุ์เล็กพันธุ์อื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีความผิดปกติของดวงตาซึ่งเป็นการถ่ายทอดทางพันธุกรรม จึงแนะนำให้ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ

 

การฝึกมอลทีส

 

สุนัขพันธุ์มอลทีสฉลาดกว่าที่หลายคนคิด ชอบเรียนรู้ทริคและเกมใหม่ ๆ เจ้าของควรฝึกให้รู้จักเดินตามสายจูงหรือสายรัดอกและฝึกให้กลับมาหาเจ้าของหลังเรียกชื่อ ดูภายนอกแล้วมอลทีสอาจดูเป็นสุนัขขนฟูหน้าตาน่ารัก แต่ถ้าเห็นกระรอกเมื่อไหร่ก็อาจวิ่งไล่สนุกกับเขาด้วยเหมือนกัน

 

การอยู่ร่วมกับเด็กของสุนัข

 

แม้สุนัขส่วนใหญ่จะเป็นมิตรกับเด็ก แต่ทั้งสุนัขมอลทีสและเด็กจะต้องได้รับการฝึกให้เคารพซึ่งกันและกัน และอยู่ร่วมกันได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตามไม่ควรปล่อยให้เด็กเล็กและสุนัขอยู่ด้วยกันตามลำพัง ควรเฝ้าระวังทุกครั้งที่เด็กเล่นกับสุนัข

 

รู้หรือไม่

 

  • สุนัขมอลทีสเป็นสุนัขตัวโปรดของสมาชิกราชวงศ์ ว่ากันว่าขณะที่พระราชินีแห่งสก็อตแลนด์กำลังถูกบั่นพระศอ หลังการประหารพบว่าพระนางได้ซ่อนสุนัขมอลทีสไว้ใต้กระโปรงด้วย
  • ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สุนัขมอลทีสมีชื่อเรียกหลากหลายชื่อมาก ได้แก่ สุนัขพันธุ์เมลิแต สุนัขโบราณจากมัลตา สุนัขของสุภาพสตรีชาวโรมัน เดอะ คอมฟอร์ตเตอร์ สแปเนียล เจนเทิล, บิชง, สุนัขราชสีห์มอลทีส และ มอลทีสเทอร์เรีย ซึ่งลักษณะนิสัยของสุนัขพันธุ์นี้คือเป็นนักกระโดดตัวยงและไม่หวั่นต่อความสูงและแรงโน้มถ่วง
  • มีสุนัขมอลทีสของมหาเศรษฐีตัวหนึ่งที่มีมูลค่าสูงถึง 2 ล้านดอลลาร์ ชื่อว่า Take Trouble
สุนัขพันธุ์ญี่ปุ่น 'ชิบะ'

สุนัขชิบะเป็นสุนัขสายพันธุ์ที่แข็งแรง ขนาดตัวใหญ่ปานกลาง อยู่ในสายพันธุ์สปิตซ์ (เป็นสายพันธุ์ที่มีหูตั้ง ขนหนา และหางม้วนงอ) สุนัขชิบะเป็นเหมือนสุนัขพันธุ์อะกิตะที่รูปร่างเล็กกว่า เพศผู้ตัวโตเต็มวัยสูงประมาณ 39.5 ซม. ส่วนเพศเมียสูง 36.5 ซม. มีขนชั้นนอกที่แข็ง เป็นเส้นตรง มีสีแดง แดงปนน้ำตาล (สีแดงแบบมีปลายขนสีดำ) ดำ-น้ำตาล หรือขาว ปกคลุมขนชั้นในที่หนานุ่มอีกที

 

The need-to-know

 

  • สุนัขเหมาะสำหรับเจ้าของที่มีประสบการณ์เลี้ยงสุนัข
  • ต้องฝึก
  • ชอบเดินเป็นประจำ
  • ชอบเดินวันละ 1 ชั่วโมง
  • สุนัขขนาดเล็ก
  • น้ำลายไหลได้บ้าง
  • ต้องดูแล/ตัดขนสุนัขวันเว้นวัน
  • สายพันธุ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  • สุนัขช่างพูดและช่างเห่า
  • สุนัขเฝ้าบ้าน ต้องเห่าและเตือน
  • อาจต้องฝึกให้อยู่ร่วมกับสัตว์เลี้ยงตัวอื่น
  • อาจต้องฝึกให้อยู่ร่วมกับเด็ก
บุคลิกภาพ

สุนัขชิบะถือว่าเป็นสายพันธุ์ที่ตื่นตัว คล่องแคล่วว่องไว และเป็นมิตร แต่ก็ค่อนข้างรักอิสระและมีสัญชาตญาณความเป็นนักล่าสูง ดังนั้น จึงต้องฝึกให้เข้าสังคมตั้งแต่เป็นลูกสุนัข เพื่อให้อยู่ร่วมกับสุนัขตัวอื่น ๆ ได้ ลักษณะเด่นเฉพาะตัวของสุนัขพันธุ์ชิบะก็คือเสียงที่แหลมสูงเปล่งออกมาเมื่อรู้สึกตื่นเต้นหรือกระวนกระวาย

ประวัติและต้นกำเนิด

ประเทศต้นกำเนิด: ญี่ปุ่น

 

สุนัขชิบะเป็นสุนัขพันธุ์ที่ถูกผสมมาเพื่อใช้ล่าและต้อนสัตว์ขนาดเล็กในพื้นที่ภูเขาของญี่ปุ่น เปรียบเสมือนสุนัขอะกิตะขนาดเล็ก ซึ่งที่จริงแล้วคำว่า ชิบะ อินุ (Shiba Inu) ก็เแปลว่าสุนัขตัวเล็กนั่นเอง สุนัขชิบะถือเป็นสุนัขสายพันธุ์เก่าแก่พันธุ์หนึ่ง มีเรื่องราวความเป็นมาตั้งแต่ช่วง 3 ศตวรรษก่อนคริสตกาล เคยเกือบจะสูญพันธุ์ไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็มีจำนวนหนึ่งที่รอดจากการทิ้งระเบิดและการระบาดของโรคหัดสุนัขได้ และถูกนำมาแพร่พันธุ์เพื่อรักษาสายพันธุ์เอาไว้

โภชนาการและการให้อาหาร

อาหารของสุนัขชิบะจำเป็นต้องมีสารอาหารสมดุลครบถ้วน รวมถึงน้ำสะอาดด้วย ควรหมั่นตรวจสอบสภาพร่างกายของสุนัขอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้สุนัขมีรูปร่างที่เหมาะสม และต้องให้อาหารอย่างน้อยวันละ 2 มื้อตามคำแนะนำ

การออกกำลังกาย

สุนัขชิบะควรได้ออกกำลังกายวันละ 1 ชั่วโมง เนื่องจากสุนัขพันธุ์นี้มีสัญชาตญาณความเป็นนักล่า ก่อนจะปล่อยสายจูงต้องมั่นใจจริง ๆ ว่าฝึกให้สุนัขวิ่งกลับมาหาเองได้ และควรพาไปออกกำลังกายในพื้นที่ที่ปลอดภัยและเป็นสถานที่ปิดเท่านั้น

ข้อมูลอื่นๆ

สุขภาพและปัญหาที่มักพบ

 

โดยทั่วไปสุนัขชิบะเป็นสุนัขที่มีสุขภาพดีและแข็งแรง แต่อาจมีปัญหาสุขภาพดวงตาที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้เช่นเดียวกับสุนัขอีกหลายพันธุ์ ดังนั้นสุนัขพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ควรได้รับการตรวจตาเป็นประจำ

 

การอยู่ร่วมกับเด็กของสุนัข

 

แม้สุนัขส่วนใหญ่จะเป็นมิตรกับเด็ก แต่ทั้งสุนัขชิบะและเด็กจะต้องได้รับการฝึกให้เคารพซึ่งกันและกัน และอยู่ร่วมกันได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตามไม่ควรปล่อยให้เด็กเล็กและสุนัขอยู่ด้วยกันตามลำพัง ควรเฝ้าระวังทุกครั้งที่เด็กเล่นกับสุนัข