Machine Name
dog
สุนัขเกรย์ฮาวด์

สุนัขเกรย์ฮาวด์เปรียบเสมือนม้าแข่งแห่งโลกสุนัข เนื่องจากเป็นสุนัขที่วิ่งได้เร็วมาก มีลักษณะท่วงท่านุ่มนวลและสง่างาม สุนัขพันธุ์นี้มีกล้ามเนื้อและโครงสร้างแข็งแรง ขนสั้นเป็นเส้นขนที่ละเอียด มีทั้งสีดำ ขาว แดง น้ำเงินคราม น้ำตาลทอง น้ำตาลอ่อน ลายเสือ หรือมีสีที่กล่าวมาทั้งหมดปนกับสีขาว เมื่อสุนัขเกรย์ฮาวด์ตัวโตเต็มวัย เพศผู้จะสูงถึง 71-76 ซม. หนักประมาณ 30-32 กก. ส่วนเพศเมียสูง 69-71 ซม. หนัก 27-30 กก.

 

The need-to-know

 

  • สุนัขเหมาะสำหรับเจ้าของที่้เคยเลี้ยงสุนัขมาบ้าง
  • ต้องฝึก
  • ชอบเดินเป็นประจำ
  • ชอบเดินวันละ 1 ชั่วโมง
  • สุนัขขนาดใหญ่
  • น้ำลายไหลให้น้อยที่สุด
  • ต้องดูแล/ตัดขนสัปดาห์ละครั้ง
  • สายพันธุ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  • สุนัขเงียบ
  • ไม่ใช่สุนัขเฝ้าบ้าน
  • อาจต้องฝึกให้อยู่ร่วมกับสัตว์เลี้ยงตัวอื่น
  • สุนัขครอบครัวที่ดี
บุคลิกภาพ

สุนัขเกรย์ฮาวด์มีบุคลิกที่สงบนิ่ง และชอบอยู่ในบ้าน จะเรียกว่าเข้าขั้นขี้เกียจเลยก็ว่าได้ เป็นสุนัขที่สามารถจับความรู้สึกได้ไว เหมาะที่จะเป็นสัตว์เลี้ยงประจำครอบครัวหากได้เจ้าของที่เหมาะสม แม้จะนิสัยจะอ่อนโยนโดยธรรมชาติ แต่ยังคงมีสัญชาตญาณนักล่า ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่เจ้าของจึงต้องเต็มใจยอมรับลักษณะนิสัยของ

 

สุนัขพันธุ์นี้ สุนัขเกรย์ฮาวด์รักสมาชิกในครอบครัวแต่จะเย็นชากับคนแปลกหน้า โดยทั่วไปสามารถเข้ากันได้ดีกับสุนัขตัวอื่น ๆ ที่เลี้ยง แต่สำหรับคนที่เลี้ยงแมวด้วยก็ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ

ประวัติและต้นกำเนิด

สุนัขเกรย์ฮาวด์เป็นหนึ่งในสายพันธุ์สุนัขยอดนิยมเมื่อเทียบกับบรรดาสุนัขทั้งหมด เพราะหากย้อนกลับไปช่วง 4,000 ปีก่อนคริสตกาล ทั้งฟาโรห์ และผู้นำในทวีปเอเซียหรือแอฟริกาต่างก็นิยมสลักรูปสุนัขเกรย์ฮาวด์ไว้ที่หลุมฝังศพ เคยมีการใช้สุนัขเกรย์ฮาวด์ไล่ล่าแอนทีโลป กวาง และหมาป่า ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูง แพร่หลายส่งต่อไปยังแถบเอเชียตะวันตก ยุโรป และเข้าสู่เกาะบริเตน (สหราชอาณาจักร) ทำให้สุนัขเกรย์ฮาวด์กลายเป็นสัญลักษณ์แสดงสถานะที่สืบทอดมา จนในปี ค.ศ. 1016 ก็มีเพียงชนชั้นสูงเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ครอบครองสุนัขเกรย์ฮาวด์ได้ แรกเริ่มมีการใช้งานสุนัขพันธุ์นี้เพื่อล่ากระต่ายป่า และใช้ในกีฬาวิ่งแข่งในภายหลัง จึงเป็นบทพิสูจน์ว่าสุนัขเกรย์ฮาวด์เป็นสุนัขที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก มีเพียงเสือชีตาห์เท่านั้นที่วิ่งเร็วกว่าสุนัขพันธุ์นี้

โภชนาการและการให้อาหาร

สุนัขพันธุ์ใหญ่ มื้ออาหารก็ย่อมใหญ่ตามเช่นกัน สุนัขเกรย์ฮาวด์ต้องการสารอาหารที่สมดุล จำเป็นต้องมีแร่ธาตุและวิตามินที่ต่างไปจากอาหารของสายพันธุ์เล็ก สุนัขเกรย์ฮาวด์มีแนวโน้มที่จะเกิดอาการท้องอืดและปัญหาอื่น ๆ ของกระเพาะอาหาร การให้สุนัขกินอาหารปริมาณน้อย แต่บ่อยครั้ง จะช่วยลดความเสี่ยงของอาการเหล่านี้ได้

การออกกำลังกาย

แม้สุนัขเกรย์ฮาวด์จะเป็นสุนัขบ้านที่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักวิ่ง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายมากนัก แค่วิ่งวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 20 นาทีก็เพียงพอแล้ว สุนัขพันธุ์นี้เป็นที่รู้กันในนาม “จอมขี้เกียจความเร็วสูง” เพราะต้องออกกำลังด้วยการวิ่งเร็ว ๆ ไม่ใช่การเดินเน้นระยะทาง ต้องมั่นใจจริง ๆ ว่าสุนัขสามารถวิ่งกลับมาหาได้ถ้าปล่อยออกจากสายจูงในที่สาธารณะ เพราะสุนัขเกรย์ฮาวด์มีสัญชาตญาณนักล่า และจำเป็นต้องใส่ตะกร้อครอบปากไว้เพื่อป้องกันสัตว์เล็ก ที่สำคัญคืออาจต้องสวมเสื้อกันหนาวให้เมื่ออากาศหนาวเย็น

ข้อมูลอื่นๆ

สุขภาพและปัญหาที่มักพบ

 

สุนัขเกรย์ฮาวด์ถือเป็นสุนัขพันธุ์ที่มีสุขภาพดี ไม่ค่อยมีปัญหาสุขภาพที่เป็นเฉพาะของสายพันธุ์นี้

 

การอยู่ร่วมกับเด็กของสุนัข

 

แม้สุนัขส่วนใหญ่จะเป็นมิตรกับเด็ก แต่ทั้งสุนัขเกรย์ฮาวด์และเด็กจะต้องได้รับการฝึกให้เคารพซึ่งกันและกัน เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตามไม่ควรปล่อยให้เด็กเล็กและสุนัขอยู่ด้วยกันตามลำพัง ควรเฝ้าระวังทุกครั้งที่เด็กเล่นกับสุนัข

สุนัขเยอรมันเชพเพิร์ด

สุนัขเยอรมันเชพเพิร์ดเป็นสุนัขที่ใครเห็นก็รู้จักและจำได้ว่าเป็นสายพันธุ์อะไร ลักษณะของสุนัขพันธุ์นี้มักจะมีกล้ามเนื้อที่ชัดเจน ดูตื่นตัว ท่วงท่าสง่างามและน่าเกรงขาม ปราดเปรียว สุขุม มีขนหลายสี (จากมาตรฐานสายพันธุ์) ขนชั้นนอกแข็งและหยาบ ส่วนขนชั้นในหนา ความสูงที่เหมาะสมสำหรับเพศผู้ที่โตเต็มวัยคือ 63 ซม. ส่วนเพศเมียควรสูง 58 ซม. น้ำหนักอยู่ระหว่าง 30-36 กก.

 

The need-to-know

 

  • สุนัขเหมาะสำหรับเจ้าของที่มีประสบการณ์เลี้ยงสุนัข
  • ต้องฝึกมากกว่าปกติ
  • ชอบเดินออกกำลังกายอย่างหนัก
  • ชอบเดินมากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน
  • สุนัขขนาดใหญ่
  • น้ำลายไหลได้บ้าง
  • ต้องดูแล/ตัดขนสุนัขทุกวัน
  • สายพันธุ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  • สุนัขส่งเสียงเห่ามากเป็นพิเศษ
  • สุนัขเฝ้าบ้าน ต้องเห่า เตือน และปกป้องเจ้าของได้
  • อาจต้องฝึกให้อยู่ร่วมกับสัตว์เลี้ยงตัวอื่น
  • อาจต้องฝึกให้อยู่ร่วมกับเด็ก
อายุเฉลี่ย:
9 – 13 ปี
น้ำหนัก:
22 – 40 กิโลกรัม
ส่วนสูง:
58 – 63 เซนติเมตร
สีขน:
สุนัขเยอรมันเชพเพิร์ด มีขนหลายสี ได้แก่ สีดำ สีน้ำตาลแดง สีดำและน้ำตาลปนกัน สีดำและสีทอง
ขนาดตัว:
ขนาดใหญ่
ชื่อกลุ่มคนเลี้ยงสุนัข:
เหมาะกับชนบท
บุคลิกภาพ

สุนัขเยอรมันเชพเพิร์ดจะผูกพันกับผู้ดูแลและอยากใช้เวลาด้วยกันให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แม้ว่าสุนัขพันธุ์นี้จะต้องการคนดูแลเอาใจใส่ แต่ก็พร้อมตอบแทนด้วยความจงรักภักดี และซื่อสัตย์ ในทางกลับกัน ถ้าคุณไม่ได้ใส่ใจดูแลและฝึกสอนสุนัขเยอรมันเชพเพิร์ดมากพอ สุนัขก็อาจขาดความมั่นใจและไม่เชื่อฟังได้ สุนัขพันธุ์นี้ชอบเรียนรู้และตอบสนองต่อการฝึกได้ดี พิสูจน์ได้ผ่านผลการฝึกที่มักจะออกมาดีเยี่ยมเสมอ

ประวัติและต้นกำเนิด

ประเทศต้นกำเนิด: เยอรมนี

 

สุนัขเยอรมันเชพเพิร์ดเกิดจากการผสมพันธุ์สุนัขเลี้ยงแกะหลากหลายสายพันธุ์ ดั้งเดิมเลี้ยงไว้ใช้ควบคุมปศุสัตว์ สามารถสืบย้อนต้นกำเนิดสายพันธุ์นี้ได้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 สุนัขเยอรมันเชพเพิร์ดได้รับการเปิดตัวในงานแสดงครั้งแรกปี 1882 และต่อมาในปี 1899 ชมรมผู้เลี้ยงสุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ดแห่งเยอรมัน (Verein fur Deutsche Schaferhunde) ก็ได้ก่อตั้งขึ้น ชมรมนี้ได้พัฒนาสายพันธุ์สุนัขเยอรมันเชพเพิร์ดเพื่อนำไปใช้ทำงานกับตำรวจหรือทหาร เป็นการช่วยอนุรักษ์สายพันธุ์นี้ไม่ให้สูญพันธุ์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ที่หลายประเทศเผชิญความยากลำบาก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ชาวเยอรมันใช้สุนัขเยอรมันเชพเพิร์ดเป็นสุนัขส่งสารและค้นหาผู้ได้รับบาดเจ็บ ทหารฝ่ายสัมพันธมิตรล้วนชื่นชมในความเฉลียวฉลาดและความกล้าหาญของสุนัขพันธุ์นี้ จึงได้นำสุนัขเยอรมันเชพเพิร์ดกลับประเทศของตนหลังสงครามจบลง ส่งผลให้สุนัขพันธุ์นี้เป็นที่รู้จักในประเทศอื่น ๆ ด้วย

โภชนาการและการให้อาหาร

สุนัขพันธุ์ใหญ่ มื้ออาหารก็ย่อมใหญ่ตามไปด้วย สุนัขเยอรมันเชพเพิร์ดก็ต้องการสารอาหารที่สมดุลเช่นกัน จำเป็นจะต้องมีแร่ธาตุและวิตามินที่ต่างไปจากอาหารของสายพันธุ์เล็ก สุนัขเยอรมันเชพเพิร์ดมักมีปัญหาเรื่องกระเพาะอาหารและท้องอืด ดังนั้นควรให้กินอาหารในปริมาณน้อย แต่แบ่งย่อยเป็นหลายมื้อ เพื่อลดความเสี่ยงของอาการเหล่านี้

การออกกำลังกาย

ควรหมั่นพาลูกสุนัขเยอรมันเชพเพิร์ดไปออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ระวังอย่าให้ออกกำลังมากเกินไปเพราะอาจเกิดผลเสียต่อข้อต่อที่กำลังพัฒนาอยู่และยังไม่แข็งแรงดีในระยะยาว ทั้งนี้ สุนัขเยอรมันเชพเพิร์ดที่แข็งแรงโตเต็มวัยจะต้องออกกำลังกายวันละ 2 ชั่วโมงขึ้นไป ควบคู่กับกิจกรรมที่ช่วยฝึกสมอง

ข้อมูลอื่นๆ

สุขภาพและปัญหาที่มักพบ

 

สุนัขเยอรมันเชพเพิร์ดเป็นสุนัขสายพันธุ์ที่มีปัญหาสุขภาพหลายประการ ได้แก่ โรคระบบทางเดินอาหาร ภาวะกระเพาะอาหารขยายและบิดตัว (Gastric Dilation Volvulus) โรคเกี่ยวกับไขสันหลังและลมชัก นอกจากนี้ก็ยังมีปัญหาเรื่องสะโพกและข้อศอกเสื่อม เช่นเดียวกับสุนัขพันธุ์อื่น ๆ จึงควรตรวจสุขภาพข้อสะโพกของสุนัขก่อนผสมพันธุ์

 

พื้นที่ในการเลี้ยงสุนัข

 

เนื่องจากสุนัขเยอรมันเชพเพิร์ดเป็นสุนัขขนาดใหญ่ที่การเติบใหญ่จะใช้เวลานาน ไม่เหมาะกับการเลี้ยงในห้องพักที่ต้องขึ้นลงทางบันได รวมถึงบ้านที่ไม่มีสวนรั้วล้อม จะเลี้ยงในเมืองหรือตามชนบทก็ไม่มีปัญหา แต่ควรมีพื้นที่ให้เดิน ฝึกฝน และวิ่งไปวิ่งมาได้ ด้วยนิสัยหวงและพร้อมคุ้มครองบ้าน ซึ่งเขตเมืองใหญ่ที่วุ่นวายจะกระตุ้นสัญชาตญาณนี้ได้

 

การฝึกสุนัข

 

ควรให้เข้าสังคมตั้งแต่ยังเป็นลูกสุนัข และควรฝึกประจำ เพื่อให้สุนัขเยอรมันเชพเพิร์ดได้เติบโตอย่างมั่นใจและมีความสุขเวลาได้อยู่ท่ามกลางผู้คน สัตว์อื่น ๆ ฝูงปศุสัตว์ และเด็กเล็ก สุนัขพันธุ์นี้ต้องรับมาเลี้ยงจากผู้เพาะพันธุ์ที่เข้าใจและให้ความสำคัญกับการฝึกพฤติกรรมให้เหมาะสมและการฝึกให้เข้าสังคมตั้งแต่วัยแรกเกิดเท่านั้น เพราะโดยเฉพาะกับสายพันธุ์นี้ที่ถูกกระตุ้นง่ายพันธุ์นี้ สุนัขพันธุ์นี้จะฝึกง่ายหากคุณให้รางวัลตอบแทนความพยายาม แต่ต้องใช้ความอดทนสูง เพราะสุนัขเยอรมันเชพเพิร์ดแม้จะเติบโตมักใช้เวลาในการเติบโต และมักเจ็บปวดกับการถูกเข้าใจผิดว่าโตเต็มวัยแล้ว ด้วยรูปร่างที่ใหญ่โต แต่จิตใจยังเป็นเด็ก สุนัขเยอรมันเชพเพิร์ดที่ผ่านการฝึกมาอย่างดีจะสามารถทำงาน เล่นกีฬา หรือทำกิจกรรมได้หลายอย่าง ตามข้อมูลสุนัขพันธุ์นี้แรกเริ่มได้รับหน้าที่เป็นสุนัขนำทางผู้พิการทางสายตา ไม่ใช่สุนัขควบคุมปศุสัตว์หรือใช้ในการทหาร

 

การอยู่ร่วมกับเด็กของสุนัข

 

แม้สุนัขส่วนใหญ่จะเป็นมิตรกับเด็ก แต่ทั้งสุนัขเยอรมันเชพเพิร์ดและเด็กจะต้องได้รับการฝึกให้เคารพซึ่งกันและกัน และอยู่ร่วมกันได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตามไม่ควรปล่อยให้เด็กเล็กและสุนัขอยู่ด้วยกันตามลำพัง ควรเฝ้าระวังทุกครั้งที่เด็กเล่นกับสุนัข

 

รู้หรือไม่

 

  • สุนัขเยอรมันเชพเพิร์ดสามารถทำงานได้หลากหลายแบบ แต่ที่คนส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยก็คือ เป็นสุนัขที่นำทางผู้พิการทางสายตา และด้วยส่วนสูงที่พอเหมาะ ทำให้สุนัขพันธุ์นี้เข้ากันกับผู้พิการทางสายตาที่เป็นอดีตทหารได้อย่างดี เพราะสุนัขลาบราดอร์และโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ (หรือพันธุ์ผสมระหว่างกัน) มีขนาดตัวที่เตี้ยเกินไป และเป็นที่นิยมสำหรับเจ้าของที่ตัวสูง แต่ปริมาณการผลัดขนที่เยอะ ทำให้ไม่เป็นไม่เป็นที่นิยมนัก
  • ก่อนจะมีภาพยนตร์เรื่อง Lassie สุนัขตัวแรกที่ได้เป็นดาราภาพยนตร์ก็คือสุนัขเยอรมันเชพเพิร์ด ชื่อว่า ริน ทิน ทิน ซึ่งได้รับการช่วยเหลือตั้งแต่ยังเด็กในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ปี 1918 โดยทหารอเมริกันชื่อ ลี ดันแคน ได้เล่นถึง 26 เรื่อง มีรายการวิทยุเป็นของตัวเอง แถมยังมีเชฟส่วนตัวอีกด้วย
  • สุนัขเยอรมันเชพเพิร์ดมีความชาญฉลาดสูง สามารถเข้าใจเทคนิคใหม่ ๆ และฝึกความประพฤติได้ในเวลาสั้น ๆ
  • หลังจากสงครามโลก ชาวอเมริกันและยุโรปรู้สึกกังวลกับคำว่าเยอรมันในชื่อของสุนัขพันธุ์นี้ จึงมีการเปลี่ยนชื่อสายพันธุ์เป็น อัลเซเชียน (Alsatian Wolf Dog) แทน และทุกวันนี้ก็ยังมีผู้คนใช้ชื่อเรียกนี้อยู่
  • สุนัขเยอรมันเชพเพิร์ดได้รับความนิยมสูงและเป็นสุนัขยอดนิยมอันดับสองของชมรมคนเลี้ยงสุนัขของอเมริกา รองจากสายพันธุ์ลาบราดอร์

 

สุนัขเฟรนช์ บูลด็อก

สุนัขเฟรนช์ บูลด็อก เป็นสุนัขที่ใครเห็นก็จำได้เพราะหูมีลักษณะคล้ายค้างคาวขนาดใหญ่ สุนัขเฟรนช์ บูลด็อกเป็นสุนัขขนาดเล็ก หน้าแบน ขนสั้นเป็นมันเงา มีหลายลาย เช่น ลายเสือ ลายแต้มหรือสีน้ำตาลทองล้วน เมื่อโตเต็มวัยจะสูงประมาณ 27-34.5 ซม. เพศผู้จะหนัก 12.5 กก. ส่วนเพศเมียหนัก 11 กก.

 

The need-to-know

 

  • สุนัขเหมาะสำหรับเจ้าของที่ไม่เคยเลี้ยงสุนัขมาก่อน
  • ต้องการการฝึกขั้นพื้นฐาน
  • ชอบเดินเบา ๆ
  • ชอบเดินวันละครึ่งชั่วโมง
  • สุนัขขนาดเล็ก
  • น้ำลายไหลให้น้อยที่สุด
  • ต้องดูแล/ตัดขนสัปดาห์ละครั้ง
  • สายพันธุ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  • สุนัขเงียบ
  • สุนัขเฝ้าบ้าน ต้องเห่าและเตือน
  • อาจต้องฝึกให้อยู่ร่วมกับสัตว์เลี้ยงตัวอื่น
  • อาจต้องฝึกให้อยู่ร่วมกับเด็ก
อายุเฉลี่ย:
11–14 ปี
น้ำหนัก:
7.5–12.5 กิโลกรัม
ส่วนสูง:
30–31 เซนติเมตร
สีขน:
สุนัขเฟรนช์ บูลด็อกมีหลายสี ไม่ว่าจะเป็นสีน้ำตาลทอง สีครีม น้ำตาลเข้ม หรือมีสองสีปนกัน
ขนาดตัว:
ขนาดเล็ก
ชื่อกลุ่มคนเลี้ยงสุนัข:
ใช้งานได้หลากหลาย
บุคลิกภาพ

สุนัขเฟรนช์ บูลด็อก มีนิสัยรักสนุก มีพลังและใจดีกับคนที่ตนเองรัก เป็นสุนัขตัวเล็กที่ใจใหญ่กว่าตัว สู้ไม่ถอยเมื่อถูกสุนัขตัวอื่นเล่นงาน สุนัขบางตัวอ่านภาษาท่าทางจากใบหน้าแบนไม่ออก ยกเว้นสุนัขสายพันธุ์นี้

ประวัติและต้นกำเนิด

สุนัขเฟรนช์ บูลด็อกเคยเป็นที่นิยมในหมู่ช่างทำลูกไม้ในมิดแลนด์เพราะหนุ่มสาวโรงงานนิยมพาสุนัขไปทำงานด้วย ต่อมาเมื่อแรงงานย้ายไปค้าขายในฝรั่งเศส จึงนำสุนัขดังกล่าวมาผสมพันธุ์กับสุนัขหน้าสั้นจนได้ “เฟรนช์ บูลด็อก” ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน

โภชนาการและการให้อาหาร

สุนัขสายพันธุ์เล็กมีอัตราเผาผลาญพลังงานสูง ย่อยอาหารได้รวดเร็ว แต่ด้วยขนาดกระเพาะอาหารที่เล็ก สุนัขเฟรนช์ บูลด็อกควรกินอาหารปริมาณน้อย แต่แบ่งย่อยเป็นหลายมื้อ อาหารของสุนัขพันธุ์เล็กออกแบบมาเป็นพิเศษให้มีสารอาหารสำคัญในปริมาณที่เหมาะสม และมีขนาดเม็ดที่เล็กพอดีกับขนาดปาก ซึ่งช่วยให้เคี้ยวง่าย ส่งผลดีต่อระบบย่อยอาหาร

การออกกำลังกาย

สุนัขเฟรนช์ บูลด็อกไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายมากนักเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่น ออกกำลังกายเพียงวันละชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว เนื่องจากสุนัขสายพันธุ์นี้หน้าแบนจึงควรระวังไม่ให้อยู่ในที่ที่มีความร้อนมากเกินไป เพราะอาจมีภาวะช็อคจากความร้อนสูงและภาวะหายใจลำบากถ้าออกกำลังในสภาพอากาศที่ร้อน ควรพาน้องออกกำลังกายในตอนเช้าหรือเย็นหากเป็นฤดูร้อน

ข้อมูลอื่นๆ

สุขภาพและปัญหาที่มักพบ

 

ปัญหาสุขภาพหลักของสุนัขเฟรนช์ บูลด็อกเกิดจากลักษณะใบหน้าที่แบน ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาระบบทางเดินหายใจ ทำให้หายใจลำบาก ดังนั้นจึงต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้ออกกำลังกายมากเกินไป และรักษาอุณหภูมิร่างกายไม่ให้สูงเกิน นอกจากนี้ยังเสี่ยงเป็นโรคผิวหนังติดเชื้อ ตา สะโพกและข้อศอกเสื่อม และความผิดปกติของกระดูกสันหลัง

 

พื้นที่ในการเลี้ยงสุนัข

 

สุนัขเฟรนช์ บูลด็อกไม่ต้องการพื้นที่มากมาย จะเลี้ยงในห้องพักหรือบ้านเดี่ยวพร้อมสวนก็อยู่ได้หมด ตราบใดที่ยังได้ออกไปเดินเล่นออกกำลังกายและขับถ่ายบ้าง

 

การฝึกสุนัข

 

สุนัขเฟรนช์ บูลด็อกจัดว่าเป็นสุนัขจอมดื้อที่ไม่ค่อยเชื่อฟัง และอาจล่มการฝึกด้วย แต่หากใช้ความอดทนพร้อมกับให้ของรางวัลตอบแทน สุนัขพันธุ์นี้ก็สามารถฝึกพื้นฐานอย่างการนั่ง หมอบ เรียกให้มาหา และเดินด้วยสายจูงได้

 

การอยู่ร่วมกับเด็กของสุนัข

 

แม้สุนัขส่วนใหญ่จะเป็นมิตรกับเด็ก แต่ทั้งสุนัขเฟรนช์ บูลด็อกและเด็กจะต้องได้รับการฝึกให้เคารพซึ่งกันและกัน ถึงจะอยู่ร่วมกันได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตามไม่ควรปล่อยให้เด็กเล็กและสุนัขอยู่ด้วยกันตามลำพัง ควรเฝ้าระวังทุกครั้งที่เด็กเล่นกับสุนัข

 

รู้หรือไม่

 

  • สุนัขเฟรนช์ บูลด็อกเริ่มต้นชีวิตด้วยการอาศัยอยู่แถบชนบท แต่เมื่อชื่อเสียงเพิ่มพูนจากรูปลักษณ์ที่ไม่ซ้ำใครได้แพร่กระจายไปยังปารีส ก็มีชาวปารีสที่รักการเข้าสังคมรับเลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้ไปเลี้ยง และได้ปรากฏในภาพวาดของ Degas และ Toulouse-Lautrec จนมีชื่อเสียง ทุกวันนี้ยังมีไปรษณียบัตรที่เป็นรูปสาวแต่งตัวน้อยชิ้นโพสต์ภาพกับสุนัขเฟรนช์ บูลด็อกอยู่
  • เหตุผลหลัก ๆ ที่สุนัขเฟรนช์ บูลด็อกไม่สามารถว่ายน้ำได้ เนื่องจากจมูกที่สั้น ทำให้สุนัขต้องเอนตัวไปด้านหลังเพื่อให้จมูกกับปากอยู่พ้นน้ำ ลักษณะหัวที่โต ขาที่สั้นยิ่งทำให้การลอยตัวทำได้ยาก
  • มีสุนัขเฟรนช์ บูลด็อกตัวหนึ่ง ชื่อ กาแม็ง เดอ ปีกอม จบชีวิตไปพร้อมกับโศกนาฏกรรมใหญ่อย่างการจมของเรือไททานิค ซึ่งเจ้าของได้ซื้อสุนัขตัวนี้มาจากอังกฤษในราคา 150 ปอนด์ (เทียบเท่ากับ 13,000 ปอนด์ในปัจจุบัน) และได้รับเงินชดเชย 750 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นเงินจำนวนมากในเวลานั้น
  • มีสุนัขเฟรนช์ บูลด็อก ชื่อบักซตัวหนึ่ง ได้คอยดูแลลูกลิงอุรังอุตังชื่อ มาโลน ที่โดนแม่ลิงในสวนสัตว์ Twycross ทิ้ง
  • สุนัขเฟรนช์ บูลด็อกเป็นสุนัขช่างพูด แม้จะไม่ค่อยเห่า แต่มักจะสื่อสารกับคุณผ่านการคราง อิ๋ง ๆ ทำเสียงในลำคอ และหาวปากกว้าง
สุนัขดัชชุน

สุนัขดัชชุนมีส่วนหลังยาว ขาสั้นและตัวเตี้ยมาก เมื่อยังเป็นลูกสุนัข จะมีกล้ามเนื้อ ทรวดทรวงแข็งแรง ส่วนหน้าอกตันกว้าง และขาหน้าแข็งแรง ส่วนขนจะสั้น แน่นและลื่น มีหลายสี (ศึกษาข้อมูลรายละเอียดมาตรฐานสายพันธุ์เพิ่มเติม) เมื่อโตเต็มวัยจะหนัก 4.5-5 กก. และสูงประมาณ 12-15 ซม.

 

The need-to-know

 

  • สุนัขเหมาะสำหรับเจ้าของที่้เคยเลี้ยงสุนัขมาบ้าง
  • ต้องฝึก
  • ชอบเดินเบา ๆ
  • ชอบเดินวันละ 1 ชั่วโมง
  • สุนัขขนาดเล็ก
  • น้ำลายไหลให้น้อยที่สุด
  • ต้องดูแล/ตัดขนสุนัขวันเว้นวัน
  • สายพันธุ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  • สุนัขส่งเสียงเห่ามากเป็นพิเศษ
  • สุนัขเฝ้าบ้าน ต้องเห่าและเตือน
  • อาจต้องฝึกให้อยู่ร่วมกับสัตว์เลี้ยงตัวอื่น
  • อาจต้องฝึกให้อยู่ร่วมกับเด็ก
บุคลิกภาพ

สุนัขสายพันธุ์นี้รักอิสระ จึงต้องใช้ความใจเย็น สม่ำเสมอและอดทนในการฝึกสอน ควรฝึกสุนัขดัชชุนให้เข้าสังคมตั้งแต่ยังเป็นลูกสุนัขเพื่อให้คุ้นเคยกับเด็ก คนแปลกหน้าและสัตว์อื่นๆ สุนัขพันธุ์นี้อาจติดสมาชิกครอบครัวคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะและสงวนท่าทีกับคนแปลกหน้า

ประวัติและต้นกำเนิด

ประเทศต้นกำเนิด: เยอรมนี

 

ประวัติของสุนัขดัชชุนย้อนไปได้ถึงศตวรรษที่ 15 ในประเทศเยอรมัน แต่จริง ๆ แล้ว สุนัขที่มีหน้าตาคล้ายดัชชุนเคยปรากฏในงานศิลปะของอียิปต์โบราณและเม็กซิโก และในซากเรือในอิตาลีย้อนกลับไปในช่วงศริสต์ศักราชที่ 1 อีกด้วย ประเทศเยอรมันได้เริ่มกำหนดมาตรฐานสายพันธุ์ดัชชุนในปี 1879 และได้มีการตั้งชมรมของสุนัขสายพันธุ์นี้ในปี 1888 สุนัขพันธุ์ดัชชุนถูกนำเข้ามาในประเทษสหราชอาณาจักรพร้อมกับเจ้าชายอัลเบิร์ตและได้รับความนิยมทั้งในสหราชอาณาจักรและอเมริกาตลอดศตวรรษที่ 19 โดยถูกนำมาใช้แทนที่ตัวเฟอร์เร็ตเพื่อไล่กระต่ายออกจากโพรง

โภชนาการและการให้อาหาร

สุนัขขนาดเล็กมีอัตราเผาผลาญพลังงงานสูง ย่อยอาหารได้รวดเร็ว แต่ด้วยขนาดกระเพาะอาหารที่เล็ก สุนัขดัชชุนควรกินอาหารปริมาณน้อย แต่แบ่งย่อยเป็นหลายมื้อ อาหารของสุนัขพันธุ์เล็กออกแบบมาเป็นพิเศษให้มีสารอาหารสำคัญในปริมาณที่เหมาะสม และมีขนาดเม็ดที่เล็กพอดีกับขนาดปาก ซึ่งช่วยให้เคี้ยวง่าย ส่งผลดีต่อระบบย่อยอาหาร

การออกกำลังกาย

ควรพาสุนัขดัชชุนออกกำลังกายอย่างน้อยวันละครึ่งชั่วโมง ก่อนที่จะปลดสายจูง ต้องแน่ใจว่าสุนัขจะวิ่งกลับมาเมื่อเรียกชื่อ เนื่องจากสุนัขพันธุ์นี้มีสัญชาตญาณของนักล่าที่กระตุ้นให้วิ่งล่ากระรอกสุดชีวิตเมื่อได้กลิ่น พึงระลึกว่า สุนัขดัชชุนนั้นเพาะพันธุ์มาให้คลุกดิน และสามารถขุดมุดรั้วได้หลายประเภท เพราะฉะนั้นควรหมั่นเช็ครั้วรอบสวนให้ดี

ข้อมูลอื่นๆ

สุขภาพและปัญหาที่มักพบ

 

ปัญหาสุขภาพที่มักพบในสุนัขดัชชุนมักเกิดจากรูปร่างเฉพาะตัวของสายพันธุ์ที่สร้างความผิดปกติของกระดูกสันหลัง นอกจากนี้สุนัขพันธุ์นี้ยังมักเป็นโรคหัวใจ และมีปัญหาตาที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมเช่นเดียวกับสุนัขพันธุ์อื่น ๆ จึงควรตรวจตาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์อย่างสม่ำเสมอ

 

พื้นที่ในการเลี้ยงสุนัข

 

แม้สุนัขดัชชุนจะไม่ใช่สุนัขตัวใหญ่ แต่ด้วยลำตัวที่ยาวจึงต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เช่นเตรียมแท่นเหยียบหรือทางลาดสำหรับป้องกันสุนัขดัชชุนกระโดดขึ้นลงเฟอร์นิเจอร์ ควรเลี่ยงให้สุนัขดัชชุนเดินขึ้นลงบันไดสูงบ่อย ๆ บ้านที่เหมาะกับสุนัขพันธุ์นี้จึงควรมีพื้นที่ที่ราบเรียบ สวนขนาดเล็กถึงปานกลางก็เหมาะกับการเพิ่มจุดให้สุนัขเดินเล่น

 

การฝึกสุนัข

 

สุนัขดัชชุน (พันธุ์ขนยาว) ไม่ใช่สุนัขที่ชื่นชอบการฝึกแบบเป็นกิจลักษณะ แต่สามารถเรียนรู้พื้นฐานได้ เช่นการเดินด้วยสายจูงแบบสบาย ๆ การให้นั่งนิ่ง ๆ และการเรียกให้มาหา โดยทั่วไปเป็นสุนัขที่มีความเป็นมิตร แต่ก็ควรฝึกให้เข้าสังคมกับคนและสัตว์อื่น ๆ ตั้งแต่ตอนอายุยังน้อย

 

การอยู่ร่วมกับเด็กของสุนัข

 

แม้สุนัขส่วนใหญ่จะเป็นมิตรกับเด็ก แต่ทั้งสุนัขดัชชุนและเด็กจะต้องได้รับการฝึกให้เคารพซึ่งกันและกัน ถึงจะอยู่ร่วมกันได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตามไม่ควรปล่อยให้เด็กเล็กและสุนัขอยู่ด้วยกันตามลำพัง ควรเฝ้าระวังทุกครั้งที่เด็กเล่นกับสุนัข

 

รู้หรือไม่

 

  • สุนัขดัชชุนเคยได้รับการจัดประเภทเป็นสุนัขนักล่า (Hound) เพราะมีการตีความผิดจากชื่อ “Hund” ซึ่งจริง ๆ แปลว่า “สุนัข” ไม่ใช่สุนัขนักล่า (Hound) สุนัขดัชชุนตามจริงเป็นสายพันธุ์เทอร์เรีย ที่ใช้เพื่อมุดไปตามช่องเล็ก ๆ หรือรอเฝ้าเหยื่อไม่ให้หนีจากที่ซ่อน จนกว่านายพรานจะมาขุดเหยื่อเอง
สุนัขบอร์เดอร์ คอลลี่

สุนัขพันธุ์นี้เป็นสุนัขขนาดกลางถึงใหญ่ มีสัดส่วนกำลังดีและดูสง่าผ่าเผย พร้อมลุยทุกกิจกรรม เมื่อโตเต็มวัย เพศผู้จะสูง 56-61 ซม. และหนัก 20.5-29.5 กก. ส่วนเพศเมียสูง 51-56 ซม. และหนัก 18-25 กก. สุนัขบอร์เดอร์ คอลลี่มีขนสั้นติดลำตัว เมื่อลูบจะรู้สึกหยาบ และมีสีน้ำตาลแดงปนขาว หรือสามสี (สีดำ น้ำตาลและขาว) และลายหินอ่อน (น้ำเงินปนเงินและดำ)

 

The need-to-know

 

  • สุนัขเหมาะสำหรับเจ้าของที่มีประสบการณ์เลี้ยงสุนัข
  • ต้องฝึก
  • ชอบเดินออกกำลังกายอย่างหนัก
  • ชอบเดินมากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน
  • สุนัขขนาดใหญ่
  • น้ำลายไหลได้บ้าง
  • ต้องดูแล/ตัดขนสัปดาห์ละครั้ง
  • สายพันธุ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  • สุนัขช่างพูดและช่างเห่า
  • สุนัขเฝ้าบ้าน ต้องเห่าและเตือน
  • อาจต้องฝึกให้อยู่ร่วมกับสัตว์เลี้ยงตัวอื่น
  • อาจต้องฝึกให้อยู่ร่วมกับเด็ก
บุคลิกภาพ

สุนัขบอร์เดอร์ คอลลี่ เป็นสุนัขที่เป็นมิตร อารมณ์ดี มีความตื่นตัว จึงเหมาะที่จะเป็นสุนัขเฝ้าบ้าน แต่อาจชอบเห่าหากไม่ได้ฝึกหรือเมื่อรู้สึกเบื่อ และมักจะไม่ชอบแยกจากสิ่งที่รักนานเกินไป สุนัขบอร์เดอร์ คอลลี่เป็นสุนัขที่ต้องกระตุ้นให้ตื่นตัวเสมอ จึงชอบฝึกและมักปฏิบัติตามวินัยได้ดี แต่อาจมีอารมณ์อ่อนไหวและต้องการให้คนดูแลด้วยความรัก ความอ่อนโยน

ประวัติและต้นกำเนิด

แม้สุนัขพันธุ์คอลลี่และบอร์เดอร์ คอลลี่ จะหน้าตาต่างกัน แต่ทั้งคู่คือสุนัขพันธุ์เดียวกัน สุนัขพันธุ์คอลลี่ มีขนหนาและยาวกว่าเพราะอาศัยอยู่ในพื้นที่ภูเขาของสก็อตแลนด์ (Scottish Highlands) ที่มีสภาพอากาศโหดร้าย ส่วนสุนัขพันธุ์บอร์เดอร์ คอลลี่ทำงานดูแลแกะในพื้นที่ลุ่มต่ำที่อากาศอบอุ่นกว่า ขนจึงสั้นกว่า สุนัขบอร์เดอร์ คอลลี่เป็นสุนัขที่ได้รับการรับรองมากว่าสองศตวรรษแล้ว แต่ยังมีสุนัขเลี้ยงแกะพันธุ์อื่น ๆ ในสก็อตแลนด์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันและมีประวัติยาวนานกว่านี้

โภชนาการและการให้อาหาร

สุนัขพันธุ์ใหญ่รวมถึงสุนัขบอร์เดอร์ คอลลี่ ต้องการสารอาหารที่สมดุล มีแร่ธาตุและวิตามินที่ต่างไปจากอาหารของสายพันธุ์เล็ก

การออกกำลังกาย

สุนัขบอร์เดอร์ คอลลี่ต้องออกกำลังกายอย่างน้อยวันละชั่วโมง แต่หากพาไปเส้นทางเดิม ๆ ทุกวันอาจทำให้เขาเบื่อได้ เพราะฉะนั้นควรปรับเปลี่ยนเส้นทางและสอนให้เขาเล่นกีฬาบ้าง เช่น กีฬาที่เน้นความความว่องไว กีฬาเน้นฟังคำสั่ง และวิ่งแข่งคาบลูกบอล (flyball)

ข้อมูลอื่นๆ

สุขภาพและปัญหาที่มักพบ

 

สุนัขบอร์เดอร์ คอลลี่อาจเป็นโรคตาที่เกิดจากกรรมพันธุ์ได้หลายโรคเหมือนกับสุนัขอีกหลายสายพันธุ์ และอาจมีปัญหาเรื่องข้อสะโพกเสื่อมซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาด้านการเคลื่อนไหว จึงควรตรวจสุขภาพตาและสะโพกของสุนัขก่อนเพาะพันธุ์

 

การอยู่ร่วมกับเด็กของสุนัข

 

แม้สุนัขส่วนใหญ่จะเป็นมิตรกับเด็ก แต่ทั้งสุนัขบอร์เดอร์ คอลลี่และเด็กจะต้องได้รับการฝึกให้เคารพซึ่งกันและกัน ถึงจะอยู่ร่วมกันได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตามไม่ควรปล่อยให้เด็กเล็กและสุนัขอยู่ด้วยกันตามลำพังควรเฝ้าระวังทุกครั้งที่เด็กเล่นกับสุนัข

สุนัขเชาเชา (ขนหยาบ)

สุนัขพันธุ์เชาเชาเป็นสุนัขตัวสั้น ตัน รูปทรงกำยำบึกบึน หางงอม้วนโค้งมาถึงหลัง กระพุ้งแก้มและลิ้นเป็นสีน้ำเงิน/ดำ ส่วนขนแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ขนหยาบและขนเรียบ และมีหลายสีตั้งแต่ ดำ น้ำตาลแดง เทาดำ น้ำตาลทอง ครีมหรือขาว เมื่อโตเต็มวัยเพศผู้จะสูง 48-56 ซม. และหนัก 26-32 กก. ส่วนเพศเมียจะสูง 46-51 ซม. และหนัก 20-25 กก.

 

The need-to-know

 

  • สุนัขเหมาะสำหรับเจ้าของที่มีประสบการณ์เลี้ยงสุนัข
  • ต้องฝึกมากกว่าปกติ
  • ชอบเดินเป็นประจำ
  • ชอบเดินวันละ 1 ชั่วโมง
  • สุนัขขนาดใหญ่
  • น้ำลายไหลได้บ้าง
  • ต้องดูแล/ตัดขนสุนัขทุกวัน
  • สายพันธุ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  • สุนัขเงียบ
  • สุนัขเฝ้าบ้าน ต้องเห่า เตือน และปกป้องเจ้าของได้
  • อาจต้องฝึกให้อยู่ร่วมกับสัตว์เลี้ยงตัวอื่น
  • อาจต้องฝึกให้อยู่ร่วมกับเด็ก
อายุเฉลี่ย:
12 – 15 ปี
น้ำหนัก:
18 – 31.5 กิโลกรัม
ส่วนสูง:
46 – 56 เซนติเมตร
สีขน:
สีแดง ดำ ครีม เทาดำ หรือ น้ำตาลอ่อน
ขนาดตัว:
ขนาดใหญ่
ชื่อกลุ่มคนเลี้ยงสุนัข:
ใช้งานได้หลากหลาย
บุคลิกภาพ

สุนัขเชาเชา (ขนหยาบ) มีความนิ่งสุขุม รักอิสระ แต่อาจดื้อบ้างบางครั้ง มีนิสัยติดคนเลี้ยงคนใดคนหนึ่งและอาจกัดคนได้หากรู้สึกถูกคุกคามหรือเห็นว่าเจ้าของโดนทำร้าย แม้หน้าตาอาจดูเหมือนหมีน่ากอดแต่ความจริงแล้วไม่ได้เป็นอย่างนั้น เมื่อไม่นานมานี้นักพัฒนาสายพันธุ์ได้ปรับปรุงสายพันธุ์เชาเชาให้เป็นมิตรยิ่งขึ้น โดยคาดว่าปัญหาเชาเชาอารมณ์ร้าย น่าจะเกิดจากขาดการฝึกหรือหัดให้เข้าสังคมตั้งแต่ยังเป็นลูกสุนัข หากฝึกให้รู้จักเด็ก แมวหรือสัตว์เลี้ยงในบ้านตั้งแต่ยังเล็ก อาจป้องกันปัญหาความเจ้าอารมณ์ของสุนัขพันธุ์นี้ได้

 

ประวัติและต้นกำเนิด

ต้นกำเนิดของสุนัขพันธุ์เชาเชานี้ยังเป็นปริศนา แต่คาดว่ามีที่มาจากประเทศมองโกเลียและแมนจูเรียซึ่งเคยบริโภคเนื้อของสุนัขพันธุ์นี้ด้วยครั้งหนึ่งเชื่อว่าเป็นยาอายุวัฒนะ นอกจากนี้ยังนำขนมาใช้เป็นเสื้อผ้า หลังจากนั้นก็มีการนำเข้ามายังประเทศจีน ย้อนไปหลายศตวรรษก่อน สุนัขสายพันธุ์นี้เคยเฝ้าศาสนสถานเพื่อป้องกันวิญญาณร้าย นอกจากนี้ยังเคยเป็นสุนัขล่าสัตว์ของขุนนาง ใช้ป้องกันผู้บุกรุก ลากเลื่อนและเกวียน รวมทั้งเฝ้าบ้านด้วย คาดว่าสายพันธุ์สปิตซ์เองก็พัฒนามาจากพันธุ์เชาเชา

 

โภชนาการและการให้อาหาร

อาหารของสุนัขเชาเชา (ขนหยาบ) จำเป็นต้องมีสารอาหารสมดุลครบหมู่ รวมถึงน้ำสะอาดด้วย ควรหมั่นตรวจสอบสภาพร่างกายของสุนัขอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้สุนัขมีรูปร่างที่เหมาะสม และต้องให้อาหารอย่างน้อยวันละ 2 มื้อตามคำแนะนำของอาหารสุนัขที่ให้

 

การออกกำลังกาย

สุนัขเชาเชา (ขนหยาบ) ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายมากนัก เพียงแค่วันละชั่วโมงก็เพียงพอ สุนัขพันธุ์นี้ชอบใช้ชีวิตกลางแจ้ง และชอบเล่นเงียบ ๆ ตามลำพังในสวน จึงควรจัดเตรียมที่ที่มีร่มเงาและอากาศเย็นสบายให้พักหลบอากาศร้อน หากออกกำลังมากเกินไปตั้งแต่ยังเล็ก อาจทำให้มีปัญหาข้อได้เมื่ออายุมากขึ้น เพราะฉะนั้นควรดูแลให้ดีเวลาพาสุนัขพันธุ์นี้ออกกำลังกาย

 

ข้อมูลอื่นๆ

สุขภาพและปัญหาที่มักพบ

 

สุนัขเชาเชานี้มักมีปัญหาข้อศอกเสื่อม (elbow dysplasia) และปัญหาเปลือกตา นอกจากนี้ อาจมีปัญหาเรื่องข้อสะโพกเสื่อมเหมือนกับสุนัขอีกหลายสายพันธุ์ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาด้านการเคลื่อนไหว จึงควรตรวจสะโพกของสุนัขก่อนผสมพันธุ์

 

พื้นที่ในการเลี้ยงสุนัข

 

สุนัขเชาเชาเป็นสุนัขขนาดใหญ่ที่มีนิสัยหวงถิ่น จึงต้องเลี้ยงในบ้านที่มีบริเวณกว้างขวาง และมีสวนที่กั้นรั้วแข็งแรงเป็นสัดส่วน ควรมีร่มเงาไม้ในบริเวณ เพื่อให้สุนัขพันธุ์นี้วิ่งเล่นกลางแจ้งได้โดยที่อุณหภูมิร่างกายไม่สูงเกิน

 

การฝึกสุนัข

 

สุนัขเชาเชาอาจไม่ชอบการฝึกให้เชื่อฟังคำสั่ง แต่ก็ควรได้รับการฝึกให้เดินด้วยสายจูง และต้องได้รับการฝึกให้เข้าสังคมตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะสุนัขเชาเชาไม่ใช่สุนัขสังคมเท่าไหร่ ถึงจะไม่ถนัดนักแต่ก็ควรได้รับการฝึกให้อดทนต่อการพบปะสุนัขด้วยกันและมนุษย์คนอื่น ๆ การฝึกสุนัขเชาเชาควรเป็นไปอย่างนุ่มนวล เพราะสุนัขสายพันธุ์นี้ไม่ชอบปฏิกิริยาที่แข็งกร้าว เช่น การดุบ่น ต่อว่า

 

การอยู่ร่วมกับเด็กของสุนัข

 

แม้สุนัขส่วนใหญ่จะเป็นมิตรกับเด็ก แต่ทั้งสุนัขเชาเชาและเด็กจะต้องได้รับการฝึกให้เคารพซึ่งกันและกัน ถึงจะอยู่ร่วมกันได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตามไม่ควรปล่อยให้เด็กเล็กและสุนัขอยู่ด้วยกันตามลำพัง ควรเฝ้าระวังทุกครั้งที่เด็กเล่นกับสุนัข

 

รู้หรือไม่

 

สุนัขเชาเชามีลิ้นสีเทาดำหรือดำเข้ม (เช่นเดียวกับ พันธุ์ชาเป่ย หมีขั้วโลก และยีราฟ!) มีฟันถึง 44 ซี่ มากกว่าสุนัขสายพันธุ์อื่นที่มี 42 ซี่ สุนัขเชาเชามีส่วนสำคัญต่อประวัติศาสตร์สังคมของจีน มีการบันทึกว่าจักรพรรดิในช่วงศตวรรษที่ 8 เลี้ยงสุนัขเชาเชาไว้ถึง 5,000 ตัว พร้อมมีนายพรานคอยดูแล 10,000 นาย ซิกมันด์ ฟรอยด์ นักจิตวิเคราะห์ก็มักจะนำสุนัขเชาเชาของเขามาด้วยเวลาต้องตรวจคนไข้ ส่วนหนึ่งเพราะช่วยให้คนไข้ผ่อนคลายและเล่าปัญหาของตนมากขึ้น และโจฟิ สุนัขของเขาจะช่วยบอกได้ว่าเวลาในการตรวจคนไข้แต่ละคนครบกำหนดแล้ว ไม่ต้องหยิบนาฬิกาพกออกมาดูเวลา เพราะสุนัขเชาเชามีเบ้าตาที่ลึก ทำให้การมองเห็นไม่ดีนัก เวลาเข้าไปหาควรเข้าหาจากด้านหน้า

 

ชิวาวา (CHIHUAHUA)

รู้จักชิวาวา (CHIHUAHUA) สุนัขตัวจิ๋ว และวิธีดีๆ ในการดูแลสุขภาพ
ทำความรู้จักชิวาวา (Chihuahua)
ถ้าให้นึกถึงสายพันธุ์สุนัขที่ได้รับความนิยมอย่างไม่เสื่อมคลาย หลายคนต้องเอ่ยชื่อสายพันธุ์ชิวาวา (Chihuahua) ออกมาแน่นอน เพราะขนาดตัวที่เล็กกะทัดรัด ทำให้ชิวาวาสามารถปรับตัวเข้ากับการเลี้ยงในพื้นที่จำกัดได้ดี บวกกับความฉลาด เรียนรู้ได้เร็ว และติดเจ้าของในแบบที่ไม่ว่าจะพกชิวาวาไปไหนก็ยินดีไปด้วยแบบสุดๆ ไม่แปลกเลยที่ใครต่อใครก็หลงรักสุนัขสายพันธุ์นี้ มาทำความรู้จักชิวาวากันให้มากขึ้น แล้วมาดูสุนัขสายพันธุ์นี้กันให้เต็มที่ กับเคล็ดไม่ลับดีๆ ที่เรามีมาฝาก

 

The need-to-know

 

  • สุนัขเหมาะสำหรับเจ้าของที่มีประสบการณ์เลี้ยงสุนัข
  • ต้องการการฝึกขั้นพื้นฐาน
  • ชอบเดินเบา ๆ
  • ชอบเดินวันละครึ่งชั่วโมง
  • สุนัขขนาดเล็กจิ๋ว
  • น้ำลายไหลให้น้อยที่สุด
  • ต้องดูแล/ตัดขนสัปดาห์ละครั้ง
  • สายพันธุ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  • สุนัขส่งเสียงเห่ามากเป็นพิเศษ
  • สุนัขเฝ้าบ้าน ต้องเห่าและเตือน
  • เข้ากันกับสัตว์อื่นได้ดี
  • สุนัขครอบครัวที่
อายุเฉลี่ย:
10–18 ปี
น้ำหนัก:
1.8–2.7กิโลกรัม
ส่วนสูง:
15–23เซนติเมตร
สีขน:
The Chihuahua has two coat types: short-haired and long-haired and comes in a variety of colours including solid colours such as: black; white; fawn; chocolate; grey or silver and tricolours such as: chocolate, black or blue with tan and white. They may a
ขนาดตัว:
ขนาดเล็ก
ชื่อกลุ่มคนเลี้ยงสุนัข:
ทอย
บุคลิกภาพ

สุนัขสายพันธุ์ชิวาวา อยู่ในกลุ่มสุนัขเลี้ยงเป็นเพื่อน จัดว่าเป็นสายพันธุ์ที่มีความสง่างาม มีความกระตือรือร้น โดดเด่นที่ลักษณะของหัวที่กลมคล้ายกับลูกแอปเปิ้ล ตากลมโตแต่ไม่โปนออกมา ใบหูมีขนาดใหญ่ตั้งตรง กิจกรรมที่ชอบหนีไม่พ้นการอยู่ใกล้ๆ กับเจ้านายอันเป็นที่รัก และตามติดไปทุกที่ พร้อมที่จะกระโดดลงกระเป๋าทันทีที่เจ้าของจะพาออกไปช้อปปิ้ง

นอกจากชิวาวาจะเหมาะที่จะเลี้ยงในครอบครัวแล้ว ด้วยความฉลาดและเรียนรู้ได้เร็ว ทำให้ชิวาวาเป็นสุนัขอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่สามารถเข้าแข่งในสนามประกวดสุนัขได้ไม่แพ้น้องหมาสายพันธุ์ใหญ่ๆ เลยนะ วิธีการสอนชิวาวาควรเน้นสอนแบบเชิงบวก เน้นการให้รางวัลเมื่อน้องหมาทำได้ เพราะชิวาวาจะไม่ตอบสนองคุณหรอกนะถ้ามาแรงใส่กัน

ด้วยนิสัยขี้สงสัยบวกกับความช่างสำรวจของชิวาวา จึงมักเกิดเหตุการณ์ที่น้องหมาแอบลอดซี่รั้วออกไปนอกบ้านอยู่บ่อยครั้ง จึงต้องระวังในจุดนี้เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและการปะทะกับน้องหมาที่อยู่นอกบ้าน

สำหรับครอบครัวที่มีเด็กให้อยู่ห่างจากชิวาวาก่อนดีกว่า เพราะสุนัขตัวเล็กมาก จึงมีโอกาสที่จะเกิดการบาดเจ็บของสุนัขเวลาเล่นกับเด็กๆ ได้ และแม้ว่าชิวาวาจะดูติดเจ้าของมาก แต่สำหรับคนแปลกหน้าแล้วยากที่ชิวาวาจะยอมไว้ใจ ดังนั้นถึงแม้สุนัขจะตัวจิ๋ว แต่ก็ช่วยเฝ้าบ้านได้ดีไม่แพ้กับสุนัขตัวใหญ่ๆ

ที่สำคัญที่สุดคือชิวาวามักจะลืมไปว่าตัวเองเป็นสุนัขตัวเล็ก และพร้อมบวกกับสุนัขตัวใหญ่แสนดุดันแบบไม่มีอาการเกรงกลัว เวลาเจ้าของพาชิวาวาออกไปเดินเล่นก็ระมัดระวังไม่ให้ตัวจิ๋วไปป่วนใคร เพื่อความปลอดภัยของสุนัขชิวาวาเอง

ขนาดของชิวาวา
น้ำหนักตัวตามสายพันธุ์โดยเฉลี่ยไม่เกิน 2.7 กิโลกรัม (6 ปอนด์) ความสูงโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 6-8 นิ้ว และมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 14-16ปี ยิ่งสุนัขชิวาวาเมื่อมีขนาดตัวโตเต็มวัย ก็มีโอกาสที่จะป่วยหรือไม่สบายมากขึ้น ชิวาวาที่มีขนาดใหญ่หรือ oversize จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 5.4 กิโลกรัม เหมาะที่จะเลี้ยงกับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก

บุคลิกของชิวาวา
เรื่องมั่นใจบอกเลยว่าสุนัขชิวาวาไม่เป็นรองใครแน่นอน แถมยังมีความกระตือรือร้น ช่างสงสัย ขี้ตกใจ ไม่ไว้ใจคนแปลกหน้า และเหมาะที่จะเลือกสุนัขสายพันธุ์นี้เพื่อเลี้ยงเป็นเพื่อนในครอบครัว

โดยปกติแล้วชิวาวาจะมีความผูกพันธ์กับเจ้าของเพียงคนเดียวมากกว่า แต่เราก็สามารถแนะนำให้สุนัขสายพันธุ์ชิวาวารู้จักเพื่อนๆ หรือคนอื่นๆ ได้ตั้งแต่ยังอายุน้อยโดยการพาสุนัขไปพบเจอผู้คน ออกไปนอกบ้าน เพื่อให้มีประสบการณ์ที่ดีต่อการพบปะคนแปลกหน้า และเติบโตมาเป็นสุนัขชิวาวานิสัยดีมีความเป็นมิตร

ประวัติและต้นกำเนิด

ประเทศต้นกำเนิด: เม็กซิโก

 

ณ อารยธรรมอันเก่าแก่แห่งหนึ่งของโลกที่ทวีปอเมริกาใต้ ในยุคที่ชนเผ่ามายาและชนเผ่า Toltec ถือครองดินแดนแถบประเทศเม็กซิโก และเป็นเจ้าของพีระมิดขั้นบันได “Chichen Itza” 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ เชื่อหรือไม่ว่าในซากปรักหักพังแห่งอารายธรรมเหล่านี้ จะมีภาพสลักและภาพเขียนของสุนัขพันธุ์ชิวาวารวมอยู่ด้วย จึงเป็นที่เชื่อกันว่าสุนัขสายพันธุ์ชิวาวา สืบเชื้อสายมาจากสุนัขพันธุ์ Techichi อันเป็นสัตว์เลี้ยงของชนพื้นเมืองโบราณทั้งชาวมายา, Toltec และ Aztec มีข้อสันนิษฐานว่าสุนัขสายพันธุ์ชิวาวาอาจมีส่วนผสมสายพันธุ์มาจาก Chinese Crested ที่เดินทางข้ามโพ้นทะเลจากจีนมาสู่แผ่นดินอเมริกาผ่านทางช่องแคบ Bering ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าเจ้าสุนัขตัวจิ๋วสายพันธุ์นี้ มีบรรพบุรุษเก่าแก่ยาวนานมากๆ เลยทีเดียว

นอกจากนี้ก็ยังมีบางหลักฐานจากทางฝั่งยุโรป ที่พระราชวัง Apostolic นครรัฐวาติกัน ที่พบภาพเขียนสีบนผนังปูน (Fresco) เขียนขึ้นราวปี ค.ศ.1482 โดยศิลปินชาวอิตาลีในยุคเรเนสซองก์ชื่อ Sandro Botticelli ประดับอยู่บนกำแพงโบสถ์ Sistine Chapel ทางฝั่งทิศใต้ ชื่อภาพว่า “The Trials and Calling of Moses” ปรากฎรูปของสุนัขรูปร่างหน้าตาคล้ายชิวาวารวมอยู่ด้วย แต่จากหลักฐานทางพันธุศาสตร์ที่ค้นพบในปัจจุบัน สามารถระบุบ่งชี้ได้ชัดเจนแล้วว่าสุนัขสายพันธุ์ชิวาวา มีดีเอ็นเอจำเพาะที่พบได้ในแถบแม็กซิโกยุคโบราณจริงๆ และอาจจะได้เดินทางมายังยุโรปในยุคแห่งการค้นพบแผ่นดินใหม่ของ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นี่เอง เพราะในจดหมายที่นักสำรวจชื่อดังท่านนี้เขียนถึงกษัตริย์สเปน ก็มีการกล่าวถึงสุนัขสายพันธุ์ชิวาวาเอาไว้

โภชนาการและการให้อาหาร

สารอาหารที่จำเป็นสำหรับชิวาวาควรมีสัดส่วนที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย และกิจกรรมในแต่ละวันของสุนัขสายพันธุ์นี้ โดยสารอาหารจำเป็นที่ควรมีในอาหารของสุนัขสายพันธุ์นี้ ได้แก่

1. โปรตีน : เพื่อสร้างเนื้อเยื่อที่เป็นโครงสร้างหลักของร่างกาย ในอาหารควรมีกรดอะมิโน ซึ่งเป็นหน่วยย่อยของโปรตีนอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรดอะมิโนชนิดที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้

2. คาร์โบไฮเดรต : เพื่อเป็นแหล่งพลังงานในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเซลล์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เซลล์ประสาท เซลล์หัวใจ และเม็ดเลือดแดง อาหารที่มีคุณภาพดีควรมีการคำนวณปริมาณคาร์โบไฮเดรตอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการเกิดโรคอ้วนในสุนัข

3. ไขมัน : ช่วยให้พลังงานแก่ร่างกาย โดยให้พลังงานได้สูงกว่าโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต นอกจากนี้ไขมันยังช่วยในการดูดซึมวิตามิน รวมทั้งยังช่วยเสริมการทำงานของระบบห่อหุ้มร่างกาย เช่น โอเมก้า 3 และ 6

4. วิตามิน และแร่ธาตุอื่นๆ : แม้ร่างกายจะต้องการวิตามินและแร่ธาตุในปริมาณน้อย แต่หากได้รับไม่เพียงพอหรือได้รับมากเกินไป ก็อาจส่งผลต่อการทำงานของร่างกาย และทำให้ร่างกายเกิดความผิดปกติได้ ตัวอย่างวิตามินและแร่ธาตุที่ร่างกายสุนัขต้องการ ได้แก่ วิตามินบี แคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นต้น

เพราะสุนัขสายพันธุ์เล็กอย่างชิวาวา จะมีกิจกรรมในแต่ละวันค่อนข้างมาก มีความกระตือรือร้น และปราดเปรียว มีระบบการเผาผลาญในร่างกายที่ดี การเลือกอาหารที่เหมาะกับชิวาวา จึงควรเลือกอาหารที่มีส่วนผสมของโปรตีนคุณภาพดีอย่าง SUPERCOAT (ซุปเปอร์โค้ท) สูตรสุนัขพันธุ์เล็ก ที่มีสารอาหารครบถ้วนตามหลักโภชนาการ เน้นเสริมสร้างสุขภาพหัวใจ เหมาะกับสุนัขสายพันธุ์ชิวาวา เสริมวิตามินบีเพื่อช่วยในเรื่องการนำพลังงานไปใช้ รวมทั้งช่วยระบบการทำงานของระบบเผาผลาญ มีขนาดเม็ดเล็กเหมาะกับช่องปาก ช่วยเรื่องการย่อยอาหาร มีโอเมก้า 3 และ 6 บำรุงขนให้เงางาม ที่สำคัญต้องผลิตจากวัตถุดิบจากธรรมชาติ ปราศจากสีและวัตถุปรุงแต่งกลิ่นรสสังเคราะห์ เพื่อให้สุนัขชิวาวามีสุขภาพที่ดีจากภายในสู่ภายนอก และมีชีวิตยืนยาว

ความต้องการพิเศษเฉพาะสายพันธุ์ของชิวาวา
แม้ว่าชิวาวาจะเป็นสุนัขไซส์เล็ก แต่ชิวาวาก็ต้องการการออกกำลังและการฝึกนะ เพราะชิวาวาเป็นสุนัขที่มีพลังงานแสนล้นเหลือ (แบบที่ว่าสามารถวิ่งไล่กระรอกหลังบ้านได้ทั้งวัน) การออกกำลังด้วยการพาไปเดินเล่น หรือกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางในสนามกลางแจ้ง จึงจัดเป็นกิจกรรมที่ดีที่เหมาะกับสุนัขสายพันธุ์นี้

ข้อมูลอื่นๆ

สุขภาพและปัญหาที่มักพบ

 

ชิวาวามีสุขภาพโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี และไม่ค่อยมีปัญหาสุขภาพที่น่าหนักใจ แต่ก็มีโรคที่สามารถพบได้ในสุนัขสายพันธุ์นี้ เช่น - สะบ้าเคลื่อน : ลักษณะการเดินของสุนัขที่มีภาวะสะบ้าเคลื่อนจะมีการยกขาขึ้นเล็กน้อยขณะเดิน หรือมีการเขย่าขาหรือยืดขาก่อนที่จะกลับมาเดินในท่าปกติ - โรคหัวใจ : อาจพบปัญหาโรคหัวใจผิดปกติแต่กำเนิดในสุนัขสายพันธุ์นี้ได้ เช่น ปัญหาลิ้นหัวใจตีบ และอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวตามมา การรักษาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคที่เกิดขึ้นกับสุนัขแต่ละตัว - หลอดลมตีบ : เป็นปัญหาที่เกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งพบได้บ่อยในสุนัขพันธุ์เล็ก โดยเฉพาะในสุนัขที่มีน้ำหนักเกิน จะพบอาการไอแห้งๆ เสียงดังหายใจลำบาก มีเสียงดังเวลาหายใจ เหนื่อยง่าย - ปัญหาน้ำตาลต่ำ : ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในสุนัขขนาดเล็กที่ไม่ค่อยมีการสะสมไขมันไว้ในร่างกาย จะเกิดได้เมื่อสุนัขมีอาการเครียด หรือกินอาหารไม่ปกติ แม้ว่าจะเป็นปัญหาที่รักษาได้ไม่ยากแต่ก็เป็นอันตรายทำให้ถึงแก่ชีวิตได้เช่นกันหากไม่ได้รับการรักษา

 

สุนัขพันธุ์นี้กับเด็ก

 

ชิวาวาเป็นสุนัขที่รักเด็ก แต่การเลี้ยงเด็กเล็กกับสุนัขไซส์จิ๋วร่วมกันอาจเกิดปัญหาได้ เพราะสุนัขตัวเล็กๆ อย่างชิวาวาอาจหลุดจากการโอบอุ้มของเด็กน้อยและตกลงสู่พื้นจนได้รับบาดเจ็บ หากจำเป็นต้องเลี้ยงสุนัขกับเด็กเล็กก็ควรสอนให้เด็กๆ จับสุนัขอย่างปลอดภัย โดยให้จับสุนัขตอนที่นั่งอยู่บนพื้นเท่านั้น และสอนให้เด็กๆ เล่นกับสุนัขอย่างถูกต้อง ไม่ดึงขน ดึงหาง หรือตีน้องหมา เพื่อป้องกันไม่ให้สุนัขกัดเด็กๆ ชิวาวาสามารถเข้ากับสัตว์เลี้ยงที่บ้านตัวอื่นๆ ได้ดี โดยเฉพาะเมื่อเลี้ยงด้วยกันตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่ว่าจะเป็นสุนัขด้วยกัน หรือแม้แต่น้องแมว วิถีชีวิตสไตล์ชิวาวา ชิวาวาแม้จะตัวเล็กแต่ก็ใจใหญ่มีความกล้าหาญ มีความฉลาด สามารถสอนคำสั่งต่างๆ ได้ กระตือรือร้น ชอบเล่นกับเจ้าของ และมีความจงรักภักดีต่อเจ้าของ ชอบอยู่กับเจ้าของ ไม่ชอบอยู่ตัวเดียว สามารถปรับตัวเข้ากับที่อยู่ได้ดี และสามารถเลี้ยงในพื้นที่ที่มีจำกัด เช่น คอนโดหรืออะพาร์ตเมนต์ได้ แต่ถ้ามีที่ให้ชิวาวาได้ออกไประเบิดพลังบ้างก็จะดีไม่ใช่น้อย สุนัขสายพันธุ์นี้เหมาะกับครอบครัว แต่อาจจะต้องระวังหากต้องเลี้ยงร่วมกับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก แม้ปกติชิวาวาจะไม่ค่อยส่งเสียงดัง แต่ถ้าถูกรบกวนหรือใครข้ามถิ่นมาก็เห่าดังไม่แพ้ใครเลยล่ะ ผู้เลี้ยงที่เหมาะกับชิวาวา ด้วยนิสัยติดเจ้าของ ขี้ประจบ ชิวาวาจึงเหมาะกับเจ้าของที่มีเวลาเล่นด้วยกัน ชอบเที่ยว พาออกไปเดินเล่น หรือมีกิจกรรมกลางแจ้งเป็นประจำ สามารถพาน้องหมาชิวาวาไปเที่ยวได้สบาย ให้น้องหมาได้พบเจอผู้คนแปลกหน้า ตื่นตาตื่นใจกับโลกภายนอกได้ สำหรับคนที่อยู่ในเมืองที่ต้องอยู่คอนโดหรืออะพาร์ตเมนต์ ก็สามารถเลี้ยงน้องหมาสายพันธุ์นี้ได้อย่างสบายใจ เพราะชิวาวาไม่ค่อยเห่าส่งเสียงดัง แถมยังตัวเล็กพกง่าย ไลฟ์สไตล์คนเมืองนี่แหละเจ้าของที่ใช่ของชิวาวาเลย

 

สุนัขคาวาเลียร์ คิง ชาลส์ สแปเนียล

สุนัขคาวาเลียร์ คิง ชาลส์ สแปเนียล เป็นสุนัขสายพันธุ์เล็ก ปากสั้นเรียว ส่วนตากลมโตสีน้ำตาล ขนละเอียด มีให้เลือกหลายสี เช่น สีดำกับน้ำตาลไหม้ สีน้ำตาลแดง ขาวแต้มน้ำตาล (ลาย Blenheim) และสามสี (พื้นสีขาวนวลแต้มสีน้ำตาลส้ม) เมื่อโตเต็มวัยจะสูงประมาณ 30-33 ซม. และหนัก 5.5-8 กก.

 

The need-to-know

 

  • สุนัขเหมาะสำหรับเจ้าของที่มีประสบการณ์เลี้ยงสุนัข
  • ต้องการการฝึกขั้นพื้นฐาน
  • ชอบเดินเบา ๆ
  • ชอบเดินวันละ 1 ชั่วโมง
  • สุนัขขนาดเล็ก
  • น้ำลายไหลให้น้อยที่สุด
  • ต้องดูแล/ตัดขนสุนัขวันเว้นวัน
  • สายพันธุ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  • สุนัขช่างพูดและช่างเห่า
  • สุนัขเฝ้าบ้าน ต้องเห่าและเตือน
  • เข้ากันกับสัตว์อื่นได้ดี
  • สุนัขครอบครัวที่ดี
บุคลิกภาพ

สุนัขพันธุ์นี้ใจดี ไม่เรียกร้อง เหมาะกับการเลี้ยงกับครอบครัวเพราะเป็นมิตรกับทุกคน เป็นเพื่อนที่ดีกับเด็กและคนแก่ที่ยังมีเรี่ยวแรงอยู่ สุนัขพันธุ์นี้ไม่ค่อยเห่าแต่จะชอบเตือนเมื่อมีคนแปลกหน้า และไม่เหมาะกับการเฝ้าบ้านแต่เหมาะกับการรับแขก สุนัขพันธุ์คาวาเลียร์ คิง ชาลส์ สแปเนียลเข้ากันได้ดีกับทุกคน รวมทั้งแมวและสัตว์ตัวเล็กอื่น ๆ เนื่องจากตัวเล็กและไม่มีนิสัยจุกจิก จึงเหมาะเป็นเพื่อนเดินทาง

 

ประวัติและต้นกำเนิด

สุนัขคาวาเลียร์ คิง ชาลส์ สแปเนียลดั้งเดิมนั้นพัฒนามาจากสายพันธุ์ทอย สแปเนียลดังที่เห็นในภาพที่จิดรกรเช่น ทิเชียน (Titian) และเกนส์เบรอ (Gainsborough) วาดไว้เมื่อศตวรรษที่ 16, 17 และ 18 เป็นที่รู้จักกันว่าในฐานะสัตว์เลี้ยงของสุภาพสตรี และใช้กอดเพื่อให้ตักอบอุ่น พระเจ้าชาร์ลที่สองทรงโปรดสุนัขพันธุ์นี้เป็นอย่างยิ่งและมักมีสุนัขสายพันธุ์นี้อยู่รายรอบพระองค์เสมอ เมื่อศตวรรษที่ 1800 สุนัขสายพันธุ์จมูกสั้นเป็นที่นิยมมากจนเกือบทำให้พันธุ์ดั้งเดิมสูญพันธุ์ไป โชคดีที่ดยุกแห่งมาร์ลบะระ (Duke of Marlborough) ได้รักษาสุนัขพันธุ์นี้ไว้โดยผสมพันธุ์ที่ปราสาทเบลนไฮม์ ในปี 1926 ชาวอเมริกาชื่อ รอสเวลล์ เอลดริดจ์ (Roswell Eldridge) ได้พยายามฟื้นฟูสายพันธุ์คาวาเลียร์ คิง ชาลส์ สแปเนียลดั้งเดิมโดยเสนอให้รางวัลกับสุนัขที่มีลักษณะเหมือนที่ปรากฏในภาพวาดตามประวัติศาสตร์ ได้มีการมอบรางวัลที่งานแสดงสุนัขนานาชาติ (Crufts) และให้เงินรางวัลถึง 25 ปอนด์

 

โภชนาการและการให้อาหาร

สุนัขขนาดเล็กมีอัตราเผาผลาญพลังงงานสูง ย่อยอาหารได้รวดเร็ว แต่ด้วยขนาดกระเพาะอาหารที่เล็ก จึงต้องให้สุนัขคาวาเลียร์ คิง ชาลส์ สแปเนียลกินอาหารปริมาณน้อย แต่แบ่งย่อยเป็นหลายมื้อ อาหารของสุนัขสายพันธุ์เล็กออกแบบมาเป็นพิเศษให้มีสารอาหารสำคัญในปริมาณที่เหมาะสม และมีขนาดเม็ดที่เล็กพอดีกับขนาดปาก ซึ่งช่วยให้เคี้ยวง่าย ส่งผลดีต่อระบบย่อยอาหาร

 

การออกกำลังกาย

สุนัขคาวาเลียร์ คิง ชาลส์ สแปเนียลจะปรับตัวตามเวลาที่เจ้าของจัดให้ แต่จำเป็นต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อควบคุมน้ำหนักตัว ดังนั้นควรออกกำลังกายวันละ 1 ชั่วโมงเป็นประจำ นอกจากนี้สุนัขพันธุ์นี้ยังชอบเล่นเกมและฝึกให้เก่งได้

 

ข้อมูลอื่นๆ

สุขภาพและปัญหาที่มักพบ

 

ปัญหาที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมของสุนัขคาวาเลียร์ คิง ชาลส์ สแปเนียลคือ โรคหัวใจ และความผิดปกติทางสมอง/กระดูกสันหลัง (syringomyelia) นอกจากนี้ อาจเป็นโรคตาที่เกิดจากกรรมพันธุ์ได้หลายโรคเหมือนกับสุนัขอีกหลายสายพันธุ์ และอาจมีปัญหาเรื่องข้อสะโพกเสื่อมซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาด้านการเคลื่อนไหว จึงต้องตรวจประเมินตา สะโพก สมอง/กระดูกสันหลังและหัวใจก่อนที่จะนำมาผสมพันธุ์

 

การอยู่ร่วมกับเด็กของสุนัข

 

แม้สุนัขส่วนใหญ่จะเป็นมิตรกับเด็ก แต่ทั้งสุนัขคาวาเลียร์ คิง ชาลส์ สแปเนียลและเด็กจะต้องได้รับการฝึกให้เคารพซึ่งกันและกัน และอยู่ร่วมกันได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตามไม่ควรปล่อยให้เด็กเล็กและสุนัขอยู่ด้วยกันตามลำพัง ควรเฝ้าระวังทุกครั้งที่เด็กเล่นกับสุนัข

 

บูลด็อก (Bulldog)

บูลด็อก (Bulldog – English Bulldog, British Bulldog) คงยากที่จะเชื่อว่าสุนัขที่มีหน้าตาดูเศร้าและง่วงอยู่ตลอดเวลาอย่างสุนัขบูลด็อกนี้ ในอดีตจะถูกใช้ในการต่อสู้กับวัวกระทิงมาก่อน แต่ด้วยรูปร่างที่ล่ำสัน นิสัยร่าเริง และโครงสร้างใบหน้าแบบสุนัขพันธุ์หน้าสั้น จึงเลี่ยงไม่ได้ที่สุนัขพันธุ์นี้ จะมีปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นโรคทางเดินหายใจที่มักเกิดในกลุ่มสุนัขที่มีโครงหน้าสั้น (Brachycephalic breed) โรคผิวหนัง หรือแม้แต่โรคทางกระดูกและข้อ บทความนี้จึงจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับสุนัขบูลด็อกในทุกแง่มุม ทั้งภาพรวมของสายพันธุ์ ปัญหาและเคล็ดลับในการดูแลสุขภาพ และกิจกรรมที่เหมาะสม

 

The need-to-know

 

  • สุนัขเหมาะสำหรับเจ้าของที่มีประสบการณ์เลี้ยงสุนัข
  • ต้องฝึก
  • ชอบเดินเบา ๆ
  • ชอบเดินวันละครึ่งชั่วโมง
  • สุนัขขนาดกลาง
  • น้ำลายไหลให้น้อยที่สุด
  • ต้องดูแล/ตัดขนสุนัขวันเว้นวัน
  • สายพันธุ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  • สุนัขเงียบ
  • สุนัขเฝ้าบ้าน ต้องเห่า เตือน และปกป้องเจ้าของได้
  • อาจต้องฝึกให้อยู่ร่วมกับสัตว์เลี้ยงตัวอื่น
  • อาจต้องฝึกให้อยู่ร่วมกับเด็ก
บุคลิกภาพ

สุนัขบูลด็อก ถือเป็นอีกหนึ่งในสายพันธุ์สุนัขที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัว และผู้คนอื่น ๆ เพราะบูลด็อกเป็นสุนัขที่ค่อนข้างเป็นมิตร รักสงบจนถึงขั้นเฉื่อยชา สุนัขบูลด็อกชอบที่จะนอนหลับบนโซฟาหรือบริเวณที่อากาศเย็นร่วมกับเจ้าของมากกว่าการออกไปผจญภัยในที่ร้อนและเหนื่อย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้แปลว่าบูลด็อกจะไม่เล่นกับเจ้าของเลย เพราะบูลด็อกยังคงชอบที่จะเล่นกับเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่มีอาหารแสนอร่อยเตรียมให้ สุนัขบูลด็อกเป็นสุนัขที่ไม่ค่อยเห่าส่งเสียง คุณจึงสบายใจได้เรื่องการรบกวนเพื่อนบ้าน แต่เนื่องจากสุนัขบูลด็อกมีโครงสร้างใบหน้าที่สั้น จึงทำให้เกิดปัญหาหายใจเสียงดังและนอนกรน

ความดื้อเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่คนเลี้ยงสุนัขบูลด็อกส่วนใหญ่ต้องเผชิญ ยกตัวอย่างเช่น หากเป็นเรื่องที่ไม่ได้อยู่ในความสนใจ สุนัขพันธุ์นี้จะไม่ยอมปฏิบัติตามเลย อย่างไรก็ตามเราสามารถรับมือกับความดื้อของสุนัขพันธุ์นี้ได้ โดยการฝึกสุนัขอย่างเหมาะสม เช่น การให้รางวัลหลังจากที่สุนัขปฏิบัติตามคำสั่ง การไม่ลงโทษสุนัขอย่างไร้เหตุผล เป็นต้น

ประวัติและต้นกำเนิด

ประเทศต้นกำเนิด: สหรัฐอเมริกา

 

หากคุณเห็นภาพวาดของสุนัขบูลด็อกในช่วงยุควิคตอเรียของประเทศอังกฤษ คุณอาจไม่เชื่อว่านี่คือบรรพบุรุษของสุนัขบูลด็อกที่คุณรู้จัก เนื่องจากในอดีตสุนัขบูลด็อกเป็นสุนัขที่ใช้ต่อสู้ในเกมกีฬาที่เรียกว่า บูลเบทติ้ง (Bull Baiting) แต่ด้วยความโหดร้ายของกีฬาดังกล่าว สุนัขบูลด็อกจึงถูกปรับปรุงพันธุ์ให้กลายมาเป็นเพื่อนของมนุษย์ในที่สุด

สุนัขบูลด็อก (เวอร์ชั่นใหม่) ถูกเปิดตัวครั้งแรกในงานแสดงสุนัขประเทศอังกฤษในปี ค.ศ. 1860 ต่อมาสุนัขบูลด็อกก็ค่อย ๆ ได้รับความนิยมมากขึ้น จนในปี ค.ศ.1864 ได้มีการตั้งสมาคมสุนัขบูลด็อกแห่งแรกขึ้นในประเทศอังกฤษ และมีการกำหนดมาตรฐานสายพันธุ์ของสุนัขบูลด็อก จากนั้นสุนัขบูลด็อกได้ถูกขึ้นทะเบียนโดย American Kennel Club (AKC) ในปี ค.ศ.1890 นอกจากนี้สุนัขบูลด็อกยังถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ประจำประเทศ ส่วนทางฝั่งประเทศสหรัฐอเมริกาสุนัขบูลด็อกยังถูกใช้เป็นมาสคอตของทีมกีฬาหลายทีม เช่น ทีมกีฬาของ Yale University และ University of Georgia

มาตรฐานสายพันธุ์บูลด็อก
สุนัขบูลด็อกถูกจัดเป็นสุนัขขนาดกลางที่มีรูปร่างล่ำสัน แต่ไม่ใช่สุนัขที่ใช้เพื่อการกีฬา (Non-sporting dog) โดยความสูงอยู่ที่ประมาณ 12 - 15 นิ้ว น้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 18 – 25 กิโลกรัม และอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 8 – 12 ปี สุนัขบูลด็อกจะมีพื้นขนสีขาวและมาร์คกิ้งเฉดสีต่าง ๆ ซึ่งส่วนมากจะเป็นสีน้ำตาล หรือบางสีที่หายาก เช่น เทาเข้ม บลู หรือแม้กระทั่งลายมาร์เบิ้ล

โภชนาการและการให้อาหาร

สุนัขบูลด็อกเป็นสุนัขขนาดกลาง ที่สามารถเกิดภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วนได้ง่ายมาก ซึ่งทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับกระดูกและข้อตามมา จึงจำเป็นต้องมีการควบคุมอาหารและควรเลือกให้อาหารที่มีโภชนาการที่ครบถ้วน ดังต่อไปนี้

 

• พลังงาน เช่น ควรเลือกอาหารที่มีปริมาณพลังงานสอดคล้องกับความต้องการของสุนัขในแต่ละช่วงวัย นอกจากนี้ยังควรพิจารณาเลือกวัตถุดิบที่มาจากแหล่งโปรตีนคุณภาพดีเพื่อหลีกเลี่ยงการแพ้ และควรลดการให้อาหารที่มีไขมันสูงมาก เพื่อลดการสะสมของไขมันในร่างกาย ที่อาจเป็นสาเหตุให้สุนัขน้ำหนัก เกินเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาเรื่องกระดูกและข้อต่อ

• วิตามิน แร่ธาตุ และสารเสริมอื่น ๆ ถือเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการช่วยเสริมสร้างให้สุนัขมีโครงสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อที่แข็งแรง และช่วยลดการอักเสบบริเวณข้อต่อ และสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย

• กรดไขมัน เช่น โอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ที่มีส่วนช่วยในการลดการอักเสบ เช่น การอักเสบของข้อ ทั้งยังสำคัญต่อบำรุงขนและผิวหนังอีกด้วย ดังนั้นจึงควรเลือกอาหารที่ประกอบด้วยกรดไขมันเหล่านี้ในปริมาณที่เพียงพอต่อสุนัขในแต่ละช่วงวัย

 

ดังนั้นผู้เลี้ยงควรเลือกอาหารที่มีคุณค่าโภชนาการที่ครบถ้วน เช่น PRO PLAN® MEDIUM ADULT PUPPY ที่เสริมภูมิคุ้นกันของลูกสุนัขด้วยคุณค่าจากโคลอสตรัม และ DHA ที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของระบบประสาทและการมองเห็น หรือ PRO PLAN® MEDIUM ADULT ที่มีสารอาหารที่ช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกายด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และมีพรีไบโอติก (Prebiotic) ที่ช่วยให้ย่อยง่ายและเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมไปใช้ของร่างกาย นอกจากนี้สุนัขบูลด็อกยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ได้ง่าย อาหารสุนัข PRO PLAN® ALL SIZE Adult Sensitive Skin & Stomach ที่ผลิตมาจากโปรตีนคุณภาพสูงอย่างเนื้อปลาแซลมอน และทูน่า ซึ่งอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง และทำงานร่วมกับโอเมก้า 6 ช่วยบำรุงผิวหนังให้แข็งแรงและขนสวยเงางาม นอกจากนี้ยังสามารถใช้เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจาการแพ้โปรตีนจากไก่ได้อีกด้วย

ข้อมูลอื่นๆ

สุขภาพและปัญหาที่มักพบ

 

โครงหน้าสั้นที่เป็นเอกลักษณ์ของบูลด็อกนั้นส่งผลให้สุนัขพันธุ์นี้อาจมีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคผิวหนัง โรคทางกระดูกและข้อ โดยเฉพาะโรคทางระบบเดินหายใจที่มักเกิดในกลุ่มสุนัขที่มีโครงหน้าสั้น (Brachycephalic breed) ดังนั้นผู้ที่ต้องการเลี้ยงสุนัขบูลด็อกต้องรับรู้ว่าคุณจะต้องรับมือกับโรคเหล่านี้ • โรคข้อสะโพกเสื่อม (Hip dysplasia) โรคข้อสะโพกเสื่อมเป็นภาวะที่พบได้มากในสุนัขพันธุ์กลางถึงใหญ่ โดยเฉพาะสุนัขที่มีน้ำหนักตัวมาก อาการที่สังเกตเห็นได้คือสุนัขจะเดินขากะเผลกและแสดงอาการเจ็บที่ขาหลังขณะเดินหรือขณะลุกยืน ปัญหานี้สามารถป้องกันได้ด้วยการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมและควบคุมอาหาร โดยให้อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนและสมดุล เช่น PRO PLAN® MEDIUM ADULT ที่มีสารอาหารที่ช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกายด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และมีพรีไบโอติก (Prebiotic) ที่ช่วยให้ย่อยง่ายและเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมไปใช้ของร่างกาย • โรคลูกสะบ้าเคลื่อน (Patellar luxation) หรือบางครั้งเรียกว่าโรคข้อเข่าเคลื่อน โดยส่วนใหญ่โรคนี้มักเกิดในสุนัขพันธุ์เล็ก การที่ลูกสะบ้าเคลื่อนหรือหลุดออกจากเบ้า ทำให้สุนัขมีอาการเจ็บที่ขาหลัง ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้ข้อเข่าเกิดการอักเสบตามมาได้ เช่นเดียวกับโรคข้อสะโพกเสื่อม นั่นคือโรคนี้สามารถป้องกันได้ด้วยการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และควบคุมอาหารเพื่อลดการสะสมของไขมันในร่างกาย ในขณะเดียวกันสุนัขก็ยังจำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน ดังนั้น PRO PLAN® MEDIUM ADULT จึงเป็นทางเลือกที่ดี ชะลอความเสื่อมของร่างกายด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และมีพรีไบโอติก (Prebiotic) ที่ช่วยให้ย่อยง่ายและเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมไปใช้ของร่างกาย • โรคขี้เรื้อนชนิดเปียก (Demodicosis) โรคขี้เรื้อนชนิดเปียกเกิดจากไรขี้เรื้อน (Demodex) ซึ่งอาศัยอยู่ในรูขุมขนของสุนัข อาการส่วนใหญ่จะพบว่าสุนัขมีรูขุมขนอักเสบและคันมาก รวมถึงอาการผื่นแดงอักเสบ โรคขี้เรื้อนชนิดเปียกอาจเกิดเฉพาะจุด โดยเฉพาะบริเวณหัว หน้า และเท้า หรือเกิดการอักเสบทั่วทั้งตัวได้ ปัญหานี้สามารถป้องกันได้โดยการให้ยาป้องกันปรสิตภายนอก ร่วมกับการให้อาหารที่เหมาะสม เช่น PRO PLAN® ALL SIZE Adult Sensitive Skin &; Stomach ที่ทำมาจากโปรตีนคุณภาพสูงอย่างเนื้อปลาแซลมอน และทูน่า ซึ่งอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง และทำงานร่วมกับโอมก้า 6 ช่วยบำรุงผิวหนังให้แข็งแรงและขนสวยเงางาม นอกจากนี้ยังสามารถใช้เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจาการแพ้โปรตีนจากไก่ได้อีกด้วย • กลุ่มอาการเกี่ยวกับสุนัขพันธุ์หน้าสั้น (Brachycephalic syndrome) กลุ่มอาการนี้เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจและพบได้บ่อยในกลุ่มสุนัขพันธุ์หน้าสั้น เนื่องจากสุนัขเหล่านี้มีโครงหน้ากว้างและจมูกสั้น จึงทำให้ทางเดินหายใจแคบ รวมถึงเพดานอ่อนยาวจนไปปิดทางเดินหายใจ จึงเป็นสาเหตุให้สุนัขกลุ่มนี้หายใจเสียงดังและนอนกรน และเมื่อมีการออกกำลังกายหนัก ๆ อาจทำให้หายใจไม่ทัน เนื่องจากอากาศถ่ายเทไปยังปอดไม่สะดวก ซึ่งการเลือกอาหารที่เหมาะสม เช่น PRO PLAN® MEDIUM ADULT ผลิตจากโปรตีนที่มีคุณภาพสูง มีระดับสารอาหารที่เหมาะสมต่อความต้องการของสุนัข ช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกายด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ร่วมกับการออกกำลังกายในระดับที่เหมาะสมจะช่วยลดการสะสมของไขมันในร่างกาย ซึ่งส่งผลช่วยลดความรุนแรงของกลุ่มอาการเหล่านี้ได้

 

สุนัขพันธุ์นี้กับเด็ก

 

สุนัขบูลด็อกส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการอยู่ร่วมกัน พวกเขาสามารถปรับตัวเป็นเพื่อนของทุกคนได้อย่างดี ทั้งคนในครอบครัวรวมถึงกับคนแปลกหน้า และยังรวมถึงระหว่างสุนัขและสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นอีกด้วย แต่ข้อควรระวังคือบางครั้งสุนัขบูลด็อกอาจแสดงอาการก้าวร้าวได้ เนื่องจากอาการหวงของ แต่ปัญหานี้ป้องกันได้ไม่ยากด้วยการฝึกฝนตั้งแต่สุนัขยังเด็ก หรืออาจบอกสมาชิกในครอบครัวว่าไม่ให้ไปรบกวนสุนัขโดยเฉพาะเวลากินอาหาร ผู้เลี้ยงที่เหมาะกับสายพันธุ์บูลด็อก • สุนัขบูลด็อกเหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาสุนัขที่มีรูปร่างแข็งแรงกำยำ นิสัยสงบเงียบและไม่ค่อยเห่า • สุนัขบูลด็อกสามารถเลี้ยงในบ้านที่มีพื้นที่น้อยได้ แต่เจ้าของควรมีเวลาพาออกไปเดินเล่นเป็นประจำ • สุนัขบูลด็อกเหมาะสำหรับบ้านที่มีเด็กหรือผู้สูงอายุ • สุนัขบูลด็อกเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบดูแลเรื่องขนสุนัข ทั้งการแปรงขนหรืออาบน้ำ แต่ในทางกลับกันคุณต้องรับมือกับเรื่องน้ำลายและการดูแลความสะอาดบริเวณใบหน้าแทน • สุนัขบูลด็อกสามารถเลี้ยงรวมกับสุนัขสายพันธุ์อื่น ๆ แมว หรือสัตว์เลี้ยงประเภทอื่นได้อย่างไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตามสุนัขบูลด็อกไม่เหมาะกับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นเลี้ยงสุนัขหรือมีประสบการณ์การเลี้ยงสุนัขยังไม่มาก เนื่องจากสุนัขพันธุ์นี้ต้องการการดูแลเรื่องความสะอาดและปัญหาด้านสุขภาพ รวมถึงสุนัขบูลด็อกยังไม่เหมาะกับเจ้าของที่ชื่นชอบทำกิจกรรมกลางแจ้งร่วมกับสุนัขอีกด้วย

 

สุนัขบิชอง ฟริเซ่

สุนัขบิชอง ฟรีเซ่ มีความนิ่งและหน้าตาเฉลียวฉลาด รูปร่างเล็กและสีขนเป็นสีเดียวทั้งตัว ตากับจมูกสีดำสนิทตัดกันกับสีขนที่ขาวราวหิมะและหางเป็นพวงเหมือนขนนกที่โค้งและม้วนกลับมาที่หลัง ด้วยขนที่นุ่มลื่นดุจใยไหมนี้ขดเป็นเกลียวทำให้สุนัขบิชอง ฟริเซ่ดูคล้ายปุยนุ่นเดินได้ เมื่อโตเต็มวัยทั้งเพศผู้และเพศเมียจะสูงประมาณ 23-28 ซม. และหนักประมาณ 3-6 กก.

 

The need-to-know

 

  • สุนัขเหมาะสำหรับเจ้าของที่ไม่เคยเลี้ยงสุนัขมาก่อน
  • ต้องการการฝึกขั้นพื้นฐาน
  • ชอบเดินเบา ๆ
  • ชอบเดินวันละครึ่งชั่วโมง
  • สุนัขขนาดเล็กจิ๋ว
  • น้ำลายไหลให้น้อยที่สุด
  • ต้องดูแล/ตัดขนสุนัขทุกวัน
  • สายพันธุ์แพ้ง่าย
  • สุนัขเงียบ
  • สุนัขเฝ้าบ้าน ต้องเห่าและเตือน
  • เข้ากันกับสัตว์อื่นได้ดี
  • สุนัขครอบครัวที่ดี
บุคลิกภาพ

สุนัขบิชอง ฟริเซ่ มีนิสัยยิ้มแย้ม แจ่มใส และชอบใช้ชีวิตกับคนเป็นครอบครัว ถึงแม้จะชอบใช้เวลาไปท่องเที่ยวกับครอบครัว แต่ก็สอนให้อยู่บ้านตามลำพังได้ เข้าสังคมได้ดี ใช้ชีวิตกับสุนัขหรือสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ ในบ้านได้สบาย ๆ

 

ประวัติและต้นกำเนิด

หลายศตวรรษก่อน สุนัขพันธุ์บิชอง ฟริเซ่ได้รับความนิยมในฝรั่งเศสและสเปน และเคยปรากฏในภาพวาดของราชวงศ์ทั้งสองประเทศด้วย สุนัขบิชอง ฟริเซ่พัฒนาจากสายพันธุ์ในเกาะต่าง ๆ รอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และคาดว่าน่าจะมาจากเกาะเตเนริเฟ (Tenerife) โดยมีพันธุ์ “บิชอง ออฟ มัลตา” หรือ “มัลทีส” เป็นสายพันธุ์ที่คล้ายกัน และในช่วงศตวรรษที่ 14 เป็นช่วงที่ชาวกะลาสีเรือได้นำสุนัขพันธุ์นี้จากเกาะเตเนริเฟเข้าสู่ยุโรป

 

โภชนาการและการให้อาหาร

สุนัขขนาดเล็กมีอัตราเผาผลาญพลังงงานสูง ย่อยอาหารได้รวดเร็ว แต่ด้วยขนาดกระเพาะอาหารที่เล็ก สุนัขบิชอง ฟริเซ่จึงต้องให้กินอาหารปริมาณน้อย แต่แบ่งย่อยเป็นหลายมื้อ อาหารของสุนัขสายพันธุ์เล็กออกแบบมาเป็นพิเศษให้มีสารอาหารสำคัญในปริมาณที่เหมาะสม และมีขนาดเม็ดที่เล็กพอดีกับขนาดปาก ซึ่งช่วยให้เคี้ยวง่าย ส่งผลดีต่อระบบย่อยอาหาร

 

การออกกำลังกาย

แม้สุนัขพันธุ์บิชอง ฟริเซ่จะปรับตัวเข้ากับตารางเวลาของครอบครัวได้ แต่ในแง่ของการออกกำลังกายก็ควรพาไปยืดเส้นยืดสายอย่างน้อยวันละ 30 นาทีเพื่อเป็นการกระตุ้นสมองของสุนัขด้วย

 

ข้อมูลอื่นๆ

สุขภาพและปัญหาที่มักพบ

 

สุนัขบิชอง ฟริเซ่ถือว่าเป็นสุนัขพันธุ์เล็กที่มีสุขภาพแข็งแรงมาก แต่ก็มีความเสี่ยงเรื่องปัญหาสายตาเช่นเดียวกับสุนัขสายพันธุ์เล็กพันธุ์อื่น ๆ และอาจมีปัญหาสะบ้าหัวเข่าที่อาจเคลื่อนหลุดได้ (luxating patellas) นอกจากนี้ยังมักมีอาการตาแฉะและมีแนวโน้มที่จะเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ

 

การอยู่ร่วมกับเด็กของสุนัข

 

แม้สุนัขส่วนใหญ่จะเป็นมิตรกับเด็ก แต่ทั้งสุนัขบิชอง ฟริเซ่และเด็กจะต้องได้รับการฝึกให้เคารพซึ่งกันและกัน ถึงจะอยู่ร่วมกันได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตามไม่ควรปล่อยให้เด็กเล็กและสุนัขอยู่ด้วยกันตามลำพัง ควรเฝ้าระวังทุกครั้งที่เด็กเล่นกับสุนัข